วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555
ลองแวะไปนะ ถ้าขับรถผ่าน "ไร่บุญรอด" เชียงราย
ณ เช้าวันอากาศดี แดดใสๆ ไม่เร่งรีบ จากตัวเมืองเชียงรายมาไม่ไกล และเส้นทางนี้เป็นทางผ่านไปวัดร่องขุ่นอันเลื่องชื่อ เราแวะที่นี่ " ไร่บุญรอด" อีกแหล่งให้ความรู้สำหรับคนชอบเที่ยวชมไร่หรือสวน ที่มีการจัดตกแต่งไร่ชา ไร่สตอเบอรี่ และไร่พุทรา เอาไว้รองรับนักท่องเที่ยวให้ไปเที่ยวชมได้อย่างลงตัว สำหรับไร่บุญรอดนี้ มีบริการให้นักท่องเที่ยวชมไร่ หรือสวนด้วยรถบริการ ที่มีเจ้าหน้าที่คอยให้ความรู้แนะนำจุดจอดชมไร่ เพิ่งจะเปิดให้บริการในลักษณะนี้มาได้ไม่ถึงปี ซึ่งคาดว่าในอนาคต คงจะได้เห็นอะไรที่เพิ่มมากกว่านี้แน่นอน นั่งรถชมไร่แต่ละเที่ยวจะใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง ค่าบริการคนละ 50 บาท จะได้คูปองแบบที่เห็นในรูป คูปองยังเอาไปเป็นส่วนลดสำหรับแลกซื้อกาแฟได้ด้วย ราคาต่อแก้วก็ไม่แพงมาก ยิ่งได้ส่วนลดก็ยิ่งดึงดูดใจคนชอบกาแฟแบบเราเข้าไปอีก และขนมที่ได้รับคำบอกเล่ามาจากหลานสาวคือ เจ้า.... จำชื่อไม่ได้แล้ว ก็ที่เห็นวางใกล้ๆ แก้วกาแฟที่บรรจงเทฟองนมเป็นกระต่ายน่ารักนั่นแหละ มีรสข้าวโพด เลม่อน อร่อยดี นุ่มนิ่มลิ้น ไม่หวานจนเกินไป กินคู่กับกาแฟร้อน หรือชาร้อนที่ทางไร่เค้าเอามาเสริฟให้ชิมฟรี ชาให้ชิมฟรี แต่ขนมนั่นไม่ฟรีนะจ๊ะ....
เมื่อจ่ายสตางค์ค่าเข้าชมแล้ว นั่งรอเวลารถออกไม่นานนัก รถจะค่อยขับผ่านทุ่งข้าวบาเล่ย์ที่เป็นวัตถุดิบสำคัญเอาไว้ทำเบียร์ วันนั้นทุ่งข้าวเป็นสีเขียวขจีเหมือนพรมผื้นใหญ่ สอบถามน้องที่ส่งเสียงบรรยายเจื้อยแจ้ว เป็นสำเนียงคำเมือง ได้ความว่าข้าวบาร์เลย์จะติดรวงเป็นสีเหลืองทองช่วงประมาณเดือนมีนาคม ถ้าวันนั้นมีโอกาสมาเที่ยวที่นี่อีก ก็จะได้เห็น ส่วนที่เห็นปลูกเป็นทิว ริมสองข้างทางที่รถขับผ่านนั่นคือต้นเหลืองเชียงราย แต่ตอนนี้ไม่เหลือง เพราะเป็นฤดูหนาว ก็อีกแหละ น้องบรรยายก็บอกอีกว่าจะเหลืองก็ช่วงหน้าร้อน ก็คือมีนาหรือเมษา สังเกตถนนทางเข้าไร่นะ ยังเป็นดินอยู่เลย ก็เค้าเพิ่งจะเปิดให้เราเข้ามากันไม่ถึงปีนี่เอง
ไร่ชา ซึ่งผลผลิตที่ได้ ส่วนใหญ่ส่งออกขายต่างประเทศหมด จากรูปจะเห็นว่าคนงานกำลังง่วนเก็บยอดชากันใหญ่เลย อันนี้ไม่ได้สร้างภาพโชว์สาธิตเก็บใบชานะ แต่ตอนที่ไป เค้าได้เวลาเก็บกันพอดี ตอนนั้นน่าจะสิบโมงได้แล้ว
ตัวอย่างยอดใบชาที่เค้าเก็บกัน สามใบจากยอด พอได้แบบนี้แล้วก็เอาไปเข้าสู่กระบวนการอบแห้งต่อไป
จุดแรกที่รถจอดให้เราลงไปเดินชม คือ ไร่พุทรา พันธุ์อะไรก็จำไม่ได้แล้ว จำได้แต่รสชาดหวานกรอบดีจัง ลูกก็โตใช้ได้เลย
จุดต่อมา คือไร่สตอเบอรี่พันธุ์พระราชทาน ซึ่งสตอเบอรี่พันธุ์นี้จะให้รสชาดที่หวานหอมกว่าที่เราคนกรุงชอบซื้อกิน ที่ลูกโตๆ แต่รสชาดเปรี้ยวอย่างเดียว ไม่มีความหอมใดๆ ทั้งสิ้น ตรงจุดนี้เองจะมีบริเวณที่เค้าเอาต้นสตอเบอรี่มาปลูกโชว์ให้สูงจากพื้นไว้ให้ชาวเราได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกลับไป ถ้าขืนให้เดินลงไปถ่ายรูปในไร่เลย สงสัยคงไปเดินเหยียบของเค้าตายหมดแน่
ดอกของต้นสตอเบอรี่ เราว่าคล้ายดอกของต้นตะขบนะ ตูมๆ เล็กๆ ที่เห็นคือ ลูกสตอเบอรี่อ่อน
ส่วนตรงนี้สีแดงสดเลย พร้อมเด็ดเข้าปาก น่ากินมากมาย
ส่วนต้นนี้ยังอยู่ในถุงเพาะชำ ขนาดอยู่ในถุง ยังออกดอกแล้ว รออีกไม่นานก็จะติดเป็นลูกสีสดกันต่อไป
จุดต่อมาที่รถของไร่พาเรามาชมก็คือ ส่วนจัดแสดงการปลูกพืชสวนครัว หรือการเน้นให้เราซึมซับการเพาะปลูกพืชสวนครัวไว้กินเอง แบบที่เค้าปลูกไว้นี่ก็คือสารพัดแตง และน้ำเต้า ที่ทำเป็นซุ้มขนาดใหญ่ให้เรามุดเข้าไปถ่ายรูปได้
หรือแบบนี้ แค่เด็ดก็ได้แล้วสลัดจานโต
และนี่ ผัดผักบุ้งไฟแดง คะน้าน้ำมันหอย
และแค่ยอดน้ำเต้าธรรมดา แต่มีคนมารุมถ่ายรูป ให้มานึกว่า ไอ้ภาพพวกนี้มันน่าจะเป็นภาพที่เราเห็นจนชิน แต่ ณ ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ภาพนี้หายจากบ้านหลายๆ บ้านนานแล้ว
กับที่นี่ ไม่ต้องไปรอให้รุ้งเกิดหลังฝนตกอีกต่อไป แค่เปิดฝอยน้ำให้กระทบเปลวแดด รุ้งตัวเล็กๆ ก็พลันโผล่ขึ้นมาให้เห็นต่อหน้า
ที่นี่ นอกจากจะมีไร่สวยให้ชมแล้ว ยังมีห้องอาหารที่เอาวัตถุดิบจากในไร่มาปรุงเป็นเมนูพร้อม เสริฟคุณๆ รอแค่ให้คุณแวะเข้าไปเท่านั้น....
และแล้วก็ถึงเวลาลาจากไร่แห่งนี้แล้ว เพราะรถขับเรื่อยเอื่อยมาถึงทางออก ก็ที่เดียวกับที่เราขึ้นรถนั่นแหละ เห็นไร่นี้แล้ว บางคนอาจได้ความประทับใจในความสดชื่นของไร่ชา ไร่สตอเบอรี่ บางคนอาจได้ถ่ายรูป และได้เพิ่มสถานทีท่องเที่ยวในลิสต์ขึ้นมาอีกหนึ่งที่ แต่สำหรับเรา เราได้ไอเดียที่ผุดเข้ามาในสมองว่า ถ้าเรามีโอกาส เราอยากทำไร่ในลักษณะนี้ ให้เป็นที่ที่อ้าแขนรับทุกคนให้เข้ามาชมด้วยความเต็มใจ ให้เป็นที่ที่เติมไฟ เติมพลังให้ทุกคนที่แวะผ่านมา.....ว่าแต่ใครจะสนับสนุนความฝันอันนี้ของเรามั่ง...ขอแค่ที่ดินซักร้อยไร่พอ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น