วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555

พระอาทิตย์ตก ณ ดอยผาตั้ง เชียงราย

 

          เอารูปนี้มาลงให้ดูก่อนเลย  ถ้าใครเคยขึ้นไปผาตั้ง  จะคุ้นกับภาพนี้  ที่เห็นยอดแหลมๆ ตรงนั้น คืออีกมุมนึงของภูชี้ฟ้า  มาที่นี่ผาตั้ง เหมือนได้มาสัมผัสสองที่ที่เป็นไฮไลท์ของจังหวัดเชียงราย ตรงจุดที่เรายืนนี้คือเนิน 102 ติดตามอ่านกันต่อนะจ๊ะ

          มาเริ่มที่การเดินทางกันก่อนดีกว่า  เราเริ่มเดินทางจากตัวเมืองเชียงราย ใช้เส้นทางเชียงราย-เวียงชัย แล้วไปถึงอำเภอพญาเม็งราย มุ่งหน้าบ้านต้า  ถ้าไม่ชอบจำชื่อ  อยากจำแต่ตัวเลข ก็ใช้ทางหลวงหมายเลข 1233 ต่อด้วย 1174 และ 1152 ต่อด้วย ทางหลวง 1020 ระยะทาง 45 กิโลเมตร จะถึงบ้านท่าเจริญ  แล้วต่อด้วยเวียงแก่น จนถึงปางหัด ด้วยทางหลวงหมายเลข  1155 อีก 17 กิโลเมตร และจากปางหัดถึงดอยผาตั้ง อีก 15 กิโลเมตร  ที่จำได้เพราะใช้ GPS ในมือถือเป็นตัวนำทาง  แต่ความจริงเส้นทางไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด มีป้ายบอกทางไปตลอด  รับรองไม่หลง  หรือจะเกาะป้ายภูชี้ฟ้าก็ได้  แล้วสุดท้ายจะมีทางแยกบอกทางเราขึ้นผาตั้ง   เส้นทางขับรถค่อนข้างง่าย  อาจจะมีบางช่วงเป็นหลุมบ่อบ้าง เนื่องจากดินสไลด์  แต่ก็มีการซ่อมแซมกันตลอดเวลา


       
           เก็บภาพนี้ได้ระหว่างเดินทาง  เรากำลังเดินทางจากพื้นดินขึ้นบนที่สูง สูงจนบางครั้งเรายังสงสัยว่าคนสมัยก่อนเค้าเดินทางกันยังงัยนะ


           เหมือนรูปตอนสมัยเด็กๆ  ที่หลายคนชอบวาด มีภูเขาสองลูก มีพระอาทิตย์ขึ้นตรงกลาง มีทิวเขาสลับไปสุดสายตา

 
           ดอกพญาเสื่อโคร่ง หรือซากุระ  ออกดอกบานตลอดทางที่เราเหยียบขึ้นดอยผาตั้ง  บางที่ที่เคยไป มีขึ้นอยู่แค่ต้นหรือสองต้น  แต่ที่นี่  ขึ้นต้นสูงตระหง่านทั่วทุกที่ของดอยผาตั้ง กระทั่งหน้าห้องน้ำ

 
            เราแวะพูดคุยกับอดีตทหารที่มาตั้งรกรากเปิดร้านอาหารชื่อร้านบ้านดิน พี่เค้าเล่าให้ฟังว่า แต่เดิมคนที่อยู่ที่นี่เป็นชาวเขา ส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรม เท่าที่เห็นด้วยตาตัวเอง จะเห็นข้าวโพด และกะหล่ำปลี  และกลุ่มทหารที่มาตั้งฐานปกปักดินแดน ซึ่งก็คงคล้ายกับผู้พันต่วน ที่ดอยแม่สลองนั่นเอง  พอนานไปก็เลยตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ และพอการท่องเที่ยวพัฒนามากขึ้น จึงมีการสร้างเป็นห้องพักน่ารักๆ  และทำอาหารพื้นเมือง เช่น ขาหมูหมั่วโถว ไข้ยัดไส้ยูนนาน  เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวสร้างรายได้ แต่ถ้าใครต้องการมานอนกางเตนท์ที่นี่ก็มีสถานที่รองรับ แถมสะดวกสบาย ที่นี่สามารถมาเที่ยวได้ทุกฤดู วันที่เราไปมีนักท่องเที่ยวบางตา  อาจจะเพราะเป็นวันหลังจากปีใหม่ไปแล้ว  เราเลยขอเก็บภาพแมวของอดีตทหารท่านนี้มาให้ดูกัน  กำลังนอนอาบแดดคลุกฝุ่นสบายเลย


             เอาล่ะ  เราเริ่มออกเดินไปตามเส้นทางแห่งดอยผาตั้งกัน  จากจุดที่เราอยู่  เดินประมาณสองร้อยเมตรจะเห็นประตูที่ออกแบบไว้อย่างสวยงาม เป็นป้ายขนาดใหญ่  บอกว่าท่านมาถึงดอยผาตั้งแล้ว ใกล้กันนั้นเองจะเป็นผาบ่อง ซึ่งเป็นประตูสู่ประเทศลาว เป็นเส้นทางเดินผ่านถ้ำ วันนั้นเราไม่ได้เดินเข้าไปเนื่องจากเวลาล่วงเลยไปประมาณห้าโมงเย็นแล้ว ผาบ่องเลยเริ่มมืด


          ทางเดินลงผาบ่อง  เริ่มมืด เราเลยไม่กล้าลงไป  แต่เห็นดอกซากุระออกดอกไสวอยู่ตรงปากทางเข้า






จากผาบ่อง เดินประมาณ 50 เมตรจะเจอหินก้อนใหญ่รูปร่างหน้าตาคล้ายสฟิงค์ ที่อียิปต์  ในมุมมองของเราเองนะ    หรือใครจะมองเป็นอย่างอื่นก็สุดแต่จินตนาการ





           เดินต่อมาอีกเพียง 50 เมตรจะเจอเก๋งจีน สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้นายพลหลี


           จากเก๋งจีนอนุสรณ์นายพลผู้กล้า เดินมาอีกประมาณ 50 เมตรจะเห็นป่าหินยูนนาน แต่เรามาถึงที่นี่เย็นมากแล้ว กลัวจะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกดิน เลยรีบเดินจ้ำๆ  ไปที่เนิน 102



          ก่อนจะถึงเนิน 102 ต้องผ่านช่องเขาขาด ตรงจุดนี้ถ้าเรามองออกไปจะเห็นแม่น้ำโขงอยู่ลิบๆ วันนี้มีแถมพระจันทร์ดวงน้อยที่เพิ่งจะขึ้นมาให้เห็น


            มองลอดจากช่องเขาขาด จะเห็นแม่น้ำโขงอยู่ไกลๆ 




         เดินไต่บันไดดิน แข่งกันม้าแคระ ขึ้นไปอีกประมาณสองร้อยเมตร จะถึงเนิน 102  และบนนี้เอง จะเป็นจุดที่สามารถวิวได้รอบชนิด 360 องศา สวยแบบไม่มีอะไรมาบัง



         มีระฆังเอาไว้ให้เคาะบอกเทวดา ว่าเรามาถึงแล้วนะเว้ยเฮ้ยท่าน.....เราไม่กล้าเคาะ กลัวมันดัง

       
           แม่น้ำโขงจากเนิน 102


          มุมนี้ภูชี้ฟ้า  ก็คือยอดเขาที่เห็นแหลมๆ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

         
           พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า ทาทับเงาร่างลางๆ ของคนขับรถของเราทริปนี้         หลานสาวช้านนนนน......


           ใกล้ลาลับ แต่จะกลับมาพรุ่งนี้เช้า จากมุมทางเดินไปเนิน 103 จากจุดนี้ต้องเดินอีกประมาณ 800 เมตร ซึ่งถ้านับล้วเดินไปกลับน่าจะเกือบสองกิโลได้ ไม่น่าจะไปทันเห็นพระอาทิตย์ตกที่เนินนั้นแน่นอน

       
          เลยตัดสินใจลงมาหาอะไรกินกันที่หน้าทางเข้าผาบ่อง มีของกิน ของที่ระลึกขายเยอะ รับรองไม่ต้องกลัวอด  เราลองซื้อข้าวปุกงา ราดนมข้นอันละสิบบาทมาลองกิน ท่ามกลางอากาศเย็นๆ แบบนี้ กินของพื้นบ้านอุ่นๆ สุดยอดแล้ว


           วันนั้นเราตัดสินใจกลับลงมาหาที่พักในตัวเมืองเชียงราย  เพราะพรุ่งนี้เรามีอีกจุดหมายตามการแนะนำของหลานช้านนน...อีกที่  ซึ่งที่นี่น่าจะเหมาะสำหรับคนชอบเที่ยวไร่ ชอบซื้อของฝากมาก
         
           เราได้แต่อธิษฐานในใจตอนเดินทางกลับว่า  ฉันอยากมีเวลาให้ที่นี่มากกว่านี้  อยากเห็นทะเลหมอก ณ จุดที่ได้รับการรับรองจากนักท่องเที่ยวแทบทุกคนเลยว่า...สวยมาก  ถ้ามีการจัดอันดับ  ที่นี่จะต้องติดหนึ่งในสิบ และเป็นอันดับต้นๆ  แน่นอน เพราะด้วยความที่อยู่บนจุดที่ไม่มีสิ่งใดมาขวางสายตา  อยากมาเห็นด้วยตาของตัวเอง  นั่นคงเป็นอีกเหตุผลที่จะต้องนำตัวเรากลับมาที่นี่อีกให้ได้....ว่าแต่ใครสนใจจะไปกับเราบ้าง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น