วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

กลับมาอีกครั้ง กิ่วแม่ปาน ดอยอินทนนท์

           จั่วหัวไว้ว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งของเรา ยังกิ่วแม่ปาน เชียงใหม่  จำได้ว่าครั้งแรกที่ไปห่างจากครั้งนี้แค่สิบปีเอง  แต่ภาพความทรงจำ ความประทับใจครั้งนั้นยังคงติดอยู่ในรอยหยักของสมองเรา คอยกระตุ้นเตือนเรา  เหมือนเข็มแห่งความสุขเล็กๆ ที่คอยจิ้มความรู้สึกลึกๆ แต่กระจ่างใสของเรา  ให้หาทางกลับยังที่แห่งนี้ให้ได้  และแล้ววันนี้ วันที่ทุกอย่างช่างปลอดโปร่ง  เราก็ได้กลับมาที่นี่  ซึ่งเราบอกเลยว่า ถ้าใครได้เคยไปที่แห่งนี้ จะต้องหาทางกลับมาที่นี่อีกเหมือนเราแน่นอน
           อธิบายคร่าวๆ  ตามสไตล์หลวมๆ ของเรา ถึงสถานที่แห่งนี้ก่อน  เอาแบบให้เห็นภาพจากตัวหนังสือ  ก่อนไปเห็นภาพจริง  กิ่วแม่ปาน  อยู่ตรงทางขึ้นดอยอินทนนท์  คือ  เลยจากด่านจ่ายค่าเยี่ยมชมอุทยานมาประมาณสองกิโลเห็นจะได้  อยู่ซ้ายมือ  ถ้าขึ้นดอยอินทนนท์ตอนเช้า รับรองเลย รถแทบทุกคันจะต้องมาจอดที่บริเวณนี้  เพราะจะมาถ่ายรูปตอนพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งจะเป็นมุมมองที่สวยมาก  หากไม่ต้องการเดินทางไกลนัก  และตรงจุดนี้เอง  จะเป็นแหล่งขายของกิน ช่วยคลายหนาว ช่วยให้หลายๆ คนได้มีโอกาสเตรียมตัวก่อนขึ้นดอยอินทนนท์  ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความเย็น  หากใครต้องการสัมผัสกับอากาศเย็นบนยอดดอยสักครั้ง ต้องหาโอกาสไปให้ได้  ดอยอินทนนท์  แต่บอกก่อนนะว่า  ต้องแวะที่นี่ก่อน ขอให้บรรจุกิ่วแม่ปานเอาไว้ในโปรแกรมของคุณ 3 กิโลเมตรที่จะเติมพลังชีวิตให้คุณได้ตลอดการเดินทาง
          จอดรถเรียบร้อย  มาเริ่มการเดินของเรากันเถอะ  ใช่แล้ว กิ่วแม่ปาน เป็นทางเดินศึกษาธรรมชาติระยะทางทั้งสิ้น 3 กิโลเมตร มีหมุดหรือฐานให้ความรู้จำนวน 21 หมุด  ใช้เวลาในการเดินทั้งสิ้นประมาณ 3-4 ชั่วโมง  และยังเป็นที่อยู่อย่างเงียบๆ  ของผืนป่ากุหลาบพันปีอีกด้วย  บางคนบอก...เฮ้ย  ทำไมนานจัง  เราจะไม่ตอบตอนนี้  ขอให้ติดตามตอนต่อไป
          หลังจากติดต่อเจ้าหน้าที่ หรือไกด์นำทางประจำท้องถิ่น พร้อมกับจ่ายค่าบริการทั้งคณะสองร้อยบาท จะมากี่คนก็สองร้อย ลงชื่อ ลงเวลากันเล็กน้อย ก็พร้อมเดินกันแล้วหล่ะ...ตื่นเต้นจัง..วันนั้นกับวันนี้จะสวยเหมือนกันมั๊ยนะ  ภาพในวันวานลอยมาในความคิดทันที
         
          พระอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ  สวยไม่แพ้ทีใดในโลก  กับวันที่อุณหภูมิ 9 องศา

         

         กับคนที่เราไปด้วย  อาเราเอง


         งามเต็มตา  จากกล้องดิจิตอลตั้งโหมดออโต้ธรรมดา เพราะตั้งอย่างอื่นไม่เป็น

   
           อรุณเป็นใจให้พวกเราออกย่ำเดินกันแล้ว  เริ่มเดินจากจุดแรกกันเถอะ  เมื่อเดินเข้าไปไม่ไกล หรือระยะร้อยเมตรแรก ก็จะเจอกับภาพต้นไม้รกครึ้ม พร้อมกับพืชพันธุ์ที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ แบบต้นนี้  เฟิร์นใบบาง และมอส


         ต้นกำเนิดของแม่น้ำปิง ก็คือที่นี่  ที่เห็นคือน้ำตก อาจจะไม่ใหญ่มาก  แต่เป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญ  ถ้าไม่มีที่นี่  ก็ไม่มีแม่น้ำปิง เราคงต้องกลับไปท่องชื่อแม่น้ำที่มารวมกันเป็นแม่น้ำเจ้าพระยากันใหม่หมด  น้ำเย็นเฉียบเลย เพราะตอนก่อนขึ้นมา เราเข้าห้องน้ำที่ทางอุทยานเข้าทำไว้  น้ำในห้องน้ำก็ใช้น้ำจากแหล่งนี้แหละ   ทำเป็นระบบประปาภูเขาไหลลงไปให้ประชาชนใช้กัน

       
          เดินต่อจากน้ำตก  จะเจอสะพานไม้อันแรก  ที่ปกคลุมด้วยต้นไม้  ให้บรรยากาศร่มรื่น  ซึ่งในการเดินครั้งนี้  เราต้องเจอสะพานทั้งหมด 3 สะพาน


         เดินต่อ  สำรวจสองข้างทาง  จะเห็นเจ้าต้นนี้โบกใบเล็กๆ  ต้อนรับไหวๆ   เห็นเม็ดสปอร์ใต้ใบ เตรียมพร้อมจะเติบโตเป็นต้นใหม่ต่อไป



        พักเหนื่อยก่อน  ขอหอบแรงๆ ซักที  มันช่างต่างกับการเดินช็อปปิ้งซะเหลือเกิน  หนาวนะ แต่เหงื่อซึมหลัง

          
         ตลอดระยะทางกิโลเมตรแรก ดอกไม้เล็กๆ  ออกดอกน่ารัก แวะทักไปตลอดทาง


          
         เฟิร์นใบบางๆ  บอบบางแต่พลิ้วไหลไปตามแรงลม คอยห่มให้ความชุ่มเย็นแก่ไม้ใหญ่

            
         สายหมอก ระเรื่อยรอบไม้ใหญ่  ถัดจากจุดนี้ไป  อยากให้หลับตา  จากป่ารกทึบ แดดส่องลงมาไม่ค่อยจะถึง  เดินต่อไปเพียงไม่กี่ก้าว

         
          จะเจอภาพนี้  รู้สึกได้เลยว่า เราใกล้เมฆ  ใกล้ฟ้าแค่เพียงเอื้อมมือ  ไม่น่าเชื่อใช่มั๊ย ตรงนี้เข้ากิโลเมตรที่สอง  ที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะใช้เวลากับบริเวณนี้ค่อนข้างมาก เพราะอะไร ให้ดูจากรูปเอา


          จากป่ารกทึบ  เพียงไม่นาน  เราเหมือนกำลังเดินเข้าไปในก้อนเมฆที่กำลังเคลื่อนช้าๆ  ไม่รีบร้อนเพราะไม่ได้มีนัดกับใคร  ลอยผ่านตัวเรา กลิ่นเมฆ หรือหมอกกันนะ  หอมจังเลย...ได้กลิ่นมั๊ย


           ไม่ต้องไปยืนถ่ายรูปเห็นทะเลหมอกไกลๆ  แต่นี่หมอกเรื่อยไหลมาให้จับด้วยใจ และเปิดโอกาสให้หายใจเอาใส่ปอดกลับไปเท่าที่จะเอาไปได้


         เราเดินเลาะเลียบไปตามชายเขา  ตามทางไปเรื่อยๆ  หมอกก็ค่อยทะยอยไหล  แบ่งที่ให้แสงแดดทอดลงมาบ้าง


      ไม่รู้จะอธิบายยังงัย  อยากให้ไปเห็นด้วยตา สัมผัสด้วยใจ เก็บภาพด้วยตัวคุณเอง แทนที่จะต้องมาดูภาพของคนอื่น

         
          ด้านหลังป่า  ด้านหน้าปุยหมอก   เพียงลืมตา  หมู่หมอกก็ทะยอยจู่โจมเราแบบไม่ต้องให้ตั้งตัว

         
          ปล่อยคนอื่นสัมผัสบรรยากาศ  เราขอสัมผัสธรรมชาติ   ที่เห็นคือ เบอรี่ป่า กินได้  ไกด์นำทางลองเด็ดมาให้ชิม  รสชาดเปรี้ยวปนฝาดเล็กๆ  ที่เห็นเราไม่ได้เด็ดมานะ  ใครไม่รู้เด็ดทิ้งไว้  เราเลยสวมรอยเอามาถ่ายรูปโชว์  ถึงจะไม่สวย..แต่จนนะ  เอ๊ย...ไม่ใช่  แต่ไม่ทำลายธรรมชาตินะ

          
         หมอกขาว เมฆเคลื่อน  แดดอุ่นก็แทรกเข้ามา




         
         ก่อนจะถึงปลายทางของกิโลเมตรที่สอง จากมุมนี้จะมองเห็นพระธาตุนภเมทนีดล และ พระธาตุนภพลภูมิสิริ  


         ไม่ใช่แต่ในทิวป่าเท่านั้นที่จะมีพันธุ์ไม้ให้ชื่นชม  แต่เลาะเรื่อยริมขอบเขา ก็มีส้มแปบหอมอ่อนๆ กระจายกลิ่นตลอดทาง 


เดินเลาะขอบเขา  หายใจเอาหมอกเมฆเข้าปอดให้เต็มที่  ตรงนี้ระยะประมาณกิโลเมตรที่สองกว่าๆ ก็จะเข้าสู่แนวป่า ที่ให้ทิวทัศน์คล้ายกับกิโลเมตรที่หนึ่งที่ผ่านมา  เมฆใหญ่ก็โยนตัวมาโบกมือลา



           เก็บภาพมาเยอะมาก แต่ยังคงอยากให้เธอมาเห็นด้วยตาของเธอเอง  เอามาลง เอามาเล่า ไม่เท่าไปเห็นเองนะ

           จำไม่ได้แล้วว่า  ทั้งหมดเราเดินผ่านหมุดมาทั้งหมดที่หมุดแล้ว  แต่ให้นึกถึงตอนนี้  เราขอฝากความระลึกถึงหมุดที่ยี่สิบ  ที่ผู้สร้าง ให้เราหลับตา  นั่งนิ่งๆ จะได้ยินเสียงป่า เสียงน้ำ เสียงนก แต่ไกด์บอกว่าเสียงที่ดังที่สุด คือ เสียงหอบ  ทั้งหอบเหนื่อยจากการเดิน  หอบความสุขปิติที่ได้รับรู้..รับเห็นสิ่งซึ่งธรรมชาติแท้ๆ สร้างไว้ให้เรามาชื่นชม   หอบทั้งหมดกลับมาเป็นพลังชีวิต มอบแด่ทุกคนกันต่อไป


            กิ่วแม่ปาน สาบาน(อีกแล้ว)  จะกลับมาอีก  จะมาดู  ว่าเธอจะคงความสวยเหมือนเช่นวันนี้   รอให้เรากลับมาเยือนอีกหรือไม่  สำหรับเรา  ครั้งแรกที่ไป  สวยประทับใจ นึกไม่ถึงว่าเมืองไทยจะมีแบบนี้  มาครั้งนี้เธอสวยมาดเยือกเย็น ยิ่งประทับลงไปในใจของเราเข้าไปอีก เสียดายที่ครั้งนี้เธอแปลกไป  ผืนป่ากุหลาบพันปีแทบจะไม่ออกดอกเลย เพราะอากาศเปลี่ยนแปลง หนาวก็จริงแต่หนาวไม่ติดต่อกัน กุหลาบมันคง..งงๆ ว่าตกลงจะหนาวหรือไม่  สุดท้ายเลยไม่ยอมเผยดอกบาน เห็นแต่ช่อดอกตูมๆ แค่นั้น... ไม่เป็นไร ฝากคำถามไว้กับเธอนะ...กิ่วแม่ปาน  แล้วครั้งต่อไปล่ะ เธอจะสวยแบบไหนกัน  รอพิสูจน์ด้วยกันในครั้งต่อไป.....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น