วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ดอยแม่สลอง...ในมุมมองที่น่าจดจำ


           อีกหนึ่งการเดินทางเพื่อเก็บเกี่ยวความทรงจำดีๆ  อีกบทหนึ่งของเราวันนี้  เริ่มต้นที่จากเชียงใหม่ ขับรถเรื่อยเลยมาจนถึงเชียงราย ก็เย็นย่ำท่ามกลางอากาศเย็นของช่วงฤดูหนาวของบ้านเรา ก่อนขึ้นดอยแม่สลอง เราแวะนอนพักกันที่ แม่สลองเอาท์ดอร์รีสอร์ท อยู่ตรงทางขึ้นดอยแม่สลอง บ้านพักน่ารักๆ มีเตาผิงด้วยนะเออ ทั้งหลังมีสามห้องใหญ่ๆ นอนได้หลายคนเลย ราคาก็ไม่แพงอีกด้วย แต่ก่อนจะมาถึงที่พักเราแวะกันที่วัดร่องขุ่น วัดแห่งจิตวิญญาณฝีมือของอาจารย์เฉลิมชัย  ตัวเองไม่มีเวลาออกมาต้อนรับบรรดาผู้มีจิตศรัทธา  แกเลยเอารูปถ่ายเท่าตัวจริงแกมาตั้งให้คนมาแอบอิงถ่ายรูปได้แบบประชิดติดหน้าติดหนวดกันเลยทีเดียว ที่นี่มีร้านกาแฟชื่อร้านครูศรีจันทร์  ที่แบบสั่งเสร็จ จ่ายตังค์ก่อน แล้วไปยืนเก้ๆ กังๆ รอรับของที่สั่ง  วันนั้นเราสั่งชาเขียว ขอบอกเลย...โคตรอร่อย กดไลค์ให้ร้อยที  แล้วอีกอย่างที่ใครไป ณ ตอนนี้แล้วต้องซื้อกินแน่ๆ คือ หมูยอนึ่งเสียบไม้  ไม้ละสิบบาท  วันนั้นยอกันไปยอกันมา ล่อซะคนเดียวสี่ไม้  ไม่อิ่มนะ  แค่จุก...และอีกหนึ่งเมนูเด็ดสุดสำหรับเรา และอาจจะสำหรับคนอื่นด้วย คือ หนอนไม้ไผ่ หรือรถด่วนอบใส่กระป๋อง กระป๋องละสามร้อย บางร้านราคาอาจจะถูกกว่านี้หน่อย อันนี้นะเราไลค์ให้เลยพันครั้ง  ชอบสุดๆ ชอบมั่กๆ ใครไปที่นี่  แล้วคิดว่า  เอ...จะซื้ออะไรมาฝากเราดีน้า.....ไม่ต้องคิดถึงสิ่งอื่นเลย..เอารถด่วน เอารถด่วน....เพราะรถด่วนของที่นี่เค้าอบ ไม่ทอด มันเลยกรอบแบบไม่มีน้ำมัน กินเพลินมาก  ยิ่งเอามาแกล้มเบียร์นะ  ขอบอกสวดยวดเลยล่ะค้าาาาาา.....ท่านผู้ชม
       พาไปดูบรรยากาศบ้านพักของเราคืนนี้กันดีกว่า


          แล้วนี่  ซากแก้วกาแฟร้านครูศรีจันทร์  อร่อยประมาณว่า ดูดโฮกรวดเดียวหมด ไม่แบ่งใครเลย


         แล้วก็นี่เลย  นี่แหละ  สุดยอดของโปรดของเรา  เห็นรูปแล้วอยากกรี๊ดๆๆๆๆๆ  ด้วยความอยากกินอีก น้ำลายไหลแล้วเนี่ย


        เรานอนพักกันที่นี่  ตอนกลางคืนนั่งคุยกัน จิบเบียร์เย็นๆ แกล้มกับหมูยอที่ยังซื้อติดมาด้วย เอาออกมาหั่นๆ  โรยด้วยรถด่วน  อร่อยมว้ากกกก.....นุ่มๆ หนึบๆ ตามท้ายด้วยหนอนกรุบกรอบ...สวรรค์เลยนะนั่นสำหรับเรา
       เช้าแล้ว  พระอาทิตย์หยอกเย้าเรียกพวกเราให้ตื่น เพื่อเตรียมตัวมุ่งหน้าขึ้นดอยแม่สลอง หรือดอยสันติคีรี  กับประวัติอันยาวนานของดอยนี้ ก่อนที่จะเปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ลองหาอ่านได้จากเวปท่องเที่ยวได้  ข้อมูลเยอะ  เราไม่ขอเล่าดีกว่า เพราะมันจะไปซ้ำกับแหล่งข้อมูลพวกนั้น แต่จะบอกว่า ถนนหนทางขึ้นดอยนับว่าทางดีมาก ลาดยางไปตลอดเส้น ขับรถสบายๆ จากที่พักของเราใช้เวลาขับรถไปอีกประมาณชั่วโมงครึ่ง ก็ถึงแล้ว ดอยแม่สลอง ดินแดนนายพลต้วน


      เมื่อเอ่ยถึงดอบแม่สลอง ส่วนใหญ่จะถูกโปรโมทในเรื่องชา และเรื่องอาหารซึ่งเป็นอาหารสูตรของชาวจีนที่มาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ก็ได้แก่ ขาหมูหมั่นโถว ไข่ยัดไส้ หรือหมูน้ำค้าง ไอ้อย่างหลังเนี่ย นับว่าแปลกสำหรับเรามาก เพราะเกิดมาก็เพิ่งจะได้ยินชื่ออาหารชนิดนี้เป็นครั้งแรก เท่าที่สอบถามข้อมูลมา มันคือการถนอมอาหารวิธีนึง  คล้ายกับการทำหมูแดดเดียว แต่นี่เค้าเอาเนื้อหมูทั้งก้อน หรือสามชั้นทั้งเส้นใหญ่ๆ ไปคลุกกับเกลือ แล้วเอามาห้อยผึ่งแดดผึ่งลมเย็นๆ ผึ่งน้ำค้างตอนเช้า จนหมูทั้งก้อนแห้งแข็ง ซึ่งวิธีนี้จะสามารถเก็บถนอมหมูก้อนนั้นเอาไว้กินได้เป็นเดือนๆ โดยไม่เน่าเสีย  ฉลาดจริงๆ ชาวเราขอคารวะ
     เราแวะที่จุดชิมชา จุดที่นักท่องเที่ยว หรือบรรดาพวกชาเลิฟเว่อร์ทั้งหลายชอบแวะ คือ ดอยแม่สลองนอก ไร่ชา 101 ซึ่งที่นี่ก็มีโรงผลิตชาของตัวเอง  และมีชาหลากหลายพันธุ์ให้เราลองลิ้มชิมรส สัมผัสกลิ่นหอมอ่อนๆ  พร้อมคำบรรยายจากพริตตี้ชาชาวจีนฮ่อ วันนั้นพริตตี้ที่มาบรรยายพร้อมสาธิตวิธีการชงชาให้พวกเราชื่อ อาฟัง  แน่นอน พวกเราต้องฟัง เพราะถ้าไม่ฟัง เมิงก็ไปไกลๆ เลย  อันนี้เราต่อเอง น้องเค้าสมาธิดีมาก ขนาดเราชวนคุยออกนอกเรื่อง หรือคอยยิงถามคำถามแบบเห้ๆ ไปเป็นระยะ ก็ไม่สามารถทำลายสมาธิการบรรยายอันแน่วแน่ของอาฟังได้เลย  น้องเค้าก็จะวกเข้าเรื่องชาของเค้าทุกครั้งไป เอ็งแน่มาก... อาฟัง  ในเมื่อการยิงคำถามเห้ๆ  ไม่ได้ผล  มันต้องป่วนด้วยวิธีนี้  เข้าไปช่วยอาฟังสาธิตมันซะเลย เอ้า...บรรดาขาชิมฟรีทั้งหลาย...เร่เข้ามาทางนี้เลยจ้า เก้าอี้ด้านหน้ายังว่าง ด้านหลังอย่าไปนั่ง เพราะจะอดชิมของฟรี แถมดีด้วยนะ ตรงนี้ไม่มีพริตตี้  มีแต่อั๊กลี่สาธิตการชงให้ดูกันแบบจะๆ  ให้ชิมกันแบบถึงเนื้อถึงตัว มั่วกันเลยทีเดียวเชียว......เอาฮากันพอครื้นๆ  ชิมแล้วก็ขอร้องซื้อติดมือกลับไปด้วย ถ่อมาตั้งไกล ถ้าซื้อกลับไปแล้วไม่ชงกินก็เอาไว้ตั้งโชว์อวดลูกหลานวงศ์ตระกูลสืบไปก็ได้นะเว้ยเฮ้ย....


           เมื่อป่วนการสาธิตชงชา พร้อมเนียนชิมชาฟรีของเค้าแล้ว  เอาล่ะได้เวลาชิ่งสิฮะท่านผู้ชม  จะอยู่ทำไมให้เค้าจับได้  ออกมาเดินสำรวจรอบๆ ไร่ชาเค้าหน่อย แต่บอกนะ ขนาดเราไม่ค่อยโปรดชาซักเท่าไหร่  แต่ตอนที่ได้ชิมชาของที่นี่  เราชอบชาน้ำผึ้ง หรือชานางฟ้าของเค้านะ  กลิ่นชาหอมอ่อนๆ  พร้อมกับมีกลิ่นน้ำผึ้ง พร้อมรสหวานเล็กๆ ติดปลายลิ้นตอนกลืน เท่าที่ฟังอาฟังเล่า  อาฟังบอกว่า ชาพันธุ์นี้จะพิเศษกว่าชาพันธุ์อื่นตรงที่ การปลูกจะไม่ลดน้ำ ไม่ใส่ปุ๋ยใดๆ ทั้งสิ้น คืออาศัยน้ำค้างตอนเช้าเท่านั้น และจะเก็บใบชาเพียงปีละครั้ง  เพราะชาพันธุ์นี้ จะไม่ค่อยออกใบมากนัก ก็คงจริงนะ อดซะขนาดนั้น  จะเอาแรงที่ไหนออกใบวะ...แต่ด้วยการปลูกในลักษณะนี้  จะทำให้ชาที่ได้มีกลิ่น และรสชาดที่เฉพาะตัวมาก แล้วแถมมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาพันธุ์อื่นอีกด้วย....


          หอมกลิ่นชา อวลแดดอ่อนตอนเช้า


           ไร่ชาสีเขียว  และจุดที่ท้องฟ้ากับใบชามาบรรจบกันตรงหน้า


          และนี่คือ เมนูแปลกสำหรับเรา ที่เล่าให้ฟังไปมะกี๊   หมูหน้ำค้าง  เห็นมะ หมูทั้งก้อน สามชั้นทั้งเส้นเอามาหมักเกลือ ตากน้ำค้าง ตากแดด ตากลมจนแห้ง เราถามไป เห็นคุณน้องพริตตี้หมูน้ำค้างเล่าว่า เอาไปหั่นบางๆ  แล้วทอด หรือเอาไปผัดผัก หรือเอาไปทำข้าวผัดก็อร่อย  เราได้มีโอกาสชิมแบบหั่นบางๆ แล้วทอด พบว่า เค็มอิ๊บอ๋ายเลย....


          หลังจากชิมชา ชมวิว และถ่ายรูปกันจนหนำแล้ว  ชาวเราก็มุ่งหน้าขึ้นไปจุดท่องเที่ยวถัดไปคือ ดอยแม่สลอง อยากเจอนายพลต้วนแล้วหล่ะ  และที่สำคัญ  ชิมชาแล้ว อีกอย่างที่ทุกคนที่มาที่นี่ห้ามพลาดเด็ดขาด เมนูป้ายหน้า  ขาหมูหมั่นโถว..โหว..โหว...โหว...รออยู่  ไปกันเถอะ


          เราจอดรถที่หน้าพิพิธภัณฑ์นายพลต้วน  ฝั่งตรงข้ามเป็นร้านขายอาหารจีน  เราลงรถได้  แวะสวัสดีนายพลคนกล้า แล้วรีบตรงดิ่งเข้าร้านฝั่งตรงข้ามทันที  และแน่นอน  ขาหมูหมั่นโถวมาเร็วๆ เลย ตามด้วยไข่ยัดไส้  หมูน้ำค้าง แล้วอะไรอีกหลายอย่างจำไม่ได้  ที่จำได้คือ กินไม่หมด  ต้องห่อกลับอีกตามเคย  แต่ขาหมูหมดนะ  เกลี้ยงภายในพริบตา ไม่น่าเชื่อ ขาหมูสูตรที่นี่ เค้าจะตุ๋นคล้ายกับสูตรทั่วๆ ไปที่เราเคยกิน แต่จะฉุนเครื่องยาจีนน้อยกว่า แต่รสชาดนุ่มนวลกว่า และมีมันน้อยกว่า อันนี้เราว่าไม่ดี  เพราะเราชอบมันของขาหมูน่ะสิ


         อันนี้ไข่ยัดไส้  ไม่เหมือนแบบภาคกลาง ของที่นี่เค้าจะกรอบนอก แล้วนุ่มข้างใน คือข้างในเป็นหมูสับละเอียดปรุงรสเค็มเล็กน้อย เอาไปทาบนแผ่นไข่กรอบบางๆ แล้วม้วนๆ หั่นชิ้นพอคำ กินจิ้มซ๊อสพริกอร่อยมาก

         หลังจากอิ่มทองกันแบบถ้วนทั่ว  เรียกเก็บเงินกันเรียบร้อย ก็ออกเดินช็อปปิ้งแถวๆ นั้น  ตลอดสองข้างทางจะเห็นภาพชาวเขาเอาสินค้าพืชผักที่ปลูกกันแถวๆ นั้น  เอามาแบ่งเป็นกำๆ ขาย และก็จะเห็นผลไม้แช่อิ่มอบแห้งเต็มเลย เช่น บ๊วยเค็ม บ๊วยหวาน ลูกไหนแช่อิ่ม และอีกสารพัดสารพันชนิด ไม่สามารถสาธยายได้ครบ  เรียกว่าไปเนียนชิมเพลินเลยแหละ  เราซื้ออันนี้มา "บ๊วยกาแฟ" ลูกรีๆ สีชมพูอมแดงนะ ไม่รู้ทำมาจากลูกอะไร  แต่แน่นอนไม่ใช่บ๊วย รสชาดใกล้เคียงบ๊วยมาก คือพอเอามาดองแล้วผ่านกระบวนการถนอมอาหาร ไอ้เจ้าลูกนี้ก็ยังเปรี้ยว และมีติดรสฝาดนิดๆ กินเพลินดี และไม่มีเม็ดเหมือนบ๊วยด้วยนะ วันนั้นมันรีบ เลยลืมถามเป็นข้อมูลว่าจริงๆ แล้วมันคือลูกอะไร  แต่เอาเหอะ  แค่อร่อยก็พอแล้ว
     
            ดูเลย  นี่ไงบ๊วยกาแฟ  เห็นป่ะ  ไม่เหมือนบ๊วยเลยซักกะนิด  แค่รสชาดเหมือนเท่านั้น แต่รูปร่างน่าตาไม่มีส่วนใหนเหมือนเลย


           เราเดินมาจนถึงหลักกิโลเมตรยักษ์  ตั้งเด่นเป็นสง่า  ใครมาก็คงต้องถ่ายรูปกลับไป หลังหลักกิโลอันนี้  มีตลาดนัดขายสินค้างานหัตถกรรมของชาวเขา พวกชุดชาวเขา กระเป๋าเย็บมือปักประดับด้วยเม็ดข้าวฝ่าง กระเป๋าสะพายใบเล็กใบใหญ่ ขายเยอะมาก ใครใจอ่อนทนความตื้อของชาวเขาที่ตั้งใจขายของ    มากๆ ไม่ไหว  รับรองได้มีหอบหิ้วกลับมาทั้งๆ ที่ไม่อยากได้เลยก็ได้


           เป็นอันว่า เราก็เป็นอีกคนที่ใจอ่อน  ต้องยอมควักตังค์ซื้อกระเป๋าสะพายใบเล็กกลับมาอีกสองใบจนได้สิน่า   สำหรับทริปน่ารักๆ  ทริปนี้  ก็ถือว่าเราได้มาทำตามสิ่งที่ใครๆ พยายามโปรโมทดอยแม่สลองว่าเป็นแหล่งของเรื่องชา เรื่องอาหาร เรื่องของซื้อของฝาก  และเรื่องการสู้รบอันยาวนานของกลุ่มคนกลุ่มแรกที่มาตั้งถิ่นฐานที่นี่ เราก็เป็นอีกคนนึงที่ได้มีโอกาสมาสัมผัสวิถีชีวิตของทั้งชาวจีน และชาวเขา ที่พยายามเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิต  เพื่อให้สอดคล้องตามกระแสการโปรโมทการท่องเที่ยว  เราขอส่งเสียงบอกเล่าเรื่องราวความน่ารักของผู้คนบนดอยสูงนี้  อาจจะเป็นเพียงเสียงเล็กๆ  อีกเสียงนึง  ที่ยืนยันเลยว่า  แดนดินถิ่นนี้มีเสน่ห์ในแง่มุมอื่นอีกมากมายกว่าที่การมาเยือนเพียงผิวเผินจะสัมผัสได้ครบถ้วน....รอแค่ให้คุณไปสัมผัสในแง่มุมงดงามที่เหลือด้วยตัวของคุณเอง......
         
   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น