วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555
ลองแวะไปนะ ถ้าขับรถผ่าน "ไร่บุญรอด" เชียงราย
ณ เช้าวันอากาศดี แดดใสๆ ไม่เร่งรีบ จากตัวเมืองเชียงรายมาไม่ไกล และเส้นทางนี้เป็นทางผ่านไปวัดร่องขุ่นอันเลื่องชื่อ เราแวะที่นี่ " ไร่บุญรอด" อีกแหล่งให้ความรู้สำหรับคนชอบเที่ยวชมไร่หรือสวน ที่มีการจัดตกแต่งไร่ชา ไร่สตอเบอรี่ และไร่พุทรา เอาไว้รองรับนักท่องเที่ยวให้ไปเที่ยวชมได้อย่างลงตัว สำหรับไร่บุญรอดนี้ มีบริการให้นักท่องเที่ยวชมไร่ หรือสวนด้วยรถบริการ ที่มีเจ้าหน้าที่คอยให้ความรู้แนะนำจุดจอดชมไร่ เพิ่งจะเปิดให้บริการในลักษณะนี้มาได้ไม่ถึงปี ซึ่งคาดว่าในอนาคต คงจะได้เห็นอะไรที่เพิ่มมากกว่านี้แน่นอน นั่งรถชมไร่แต่ละเที่ยวจะใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง ค่าบริการคนละ 50 บาท จะได้คูปองแบบที่เห็นในรูป คูปองยังเอาไปเป็นส่วนลดสำหรับแลกซื้อกาแฟได้ด้วย ราคาต่อแก้วก็ไม่แพงมาก ยิ่งได้ส่วนลดก็ยิ่งดึงดูดใจคนชอบกาแฟแบบเราเข้าไปอีก และขนมที่ได้รับคำบอกเล่ามาจากหลานสาวคือ เจ้า.... จำชื่อไม่ได้แล้ว ก็ที่เห็นวางใกล้ๆ แก้วกาแฟที่บรรจงเทฟองนมเป็นกระต่ายน่ารักนั่นแหละ มีรสข้าวโพด เลม่อน อร่อยดี นุ่มนิ่มลิ้น ไม่หวานจนเกินไป กินคู่กับกาแฟร้อน หรือชาร้อนที่ทางไร่เค้าเอามาเสริฟให้ชิมฟรี ชาให้ชิมฟรี แต่ขนมนั่นไม่ฟรีนะจ๊ะ....
เมื่อจ่ายสตางค์ค่าเข้าชมแล้ว นั่งรอเวลารถออกไม่นานนัก รถจะค่อยขับผ่านทุ่งข้าวบาเล่ย์ที่เป็นวัตถุดิบสำคัญเอาไว้ทำเบียร์ วันนั้นทุ่งข้าวเป็นสีเขียวขจีเหมือนพรมผื้นใหญ่ สอบถามน้องที่ส่งเสียงบรรยายเจื้อยแจ้ว เป็นสำเนียงคำเมือง ได้ความว่าข้าวบาร์เลย์จะติดรวงเป็นสีเหลืองทองช่วงประมาณเดือนมีนาคม ถ้าวันนั้นมีโอกาสมาเที่ยวที่นี่อีก ก็จะได้เห็น ส่วนที่เห็นปลูกเป็นทิว ริมสองข้างทางที่รถขับผ่านนั่นคือต้นเหลืองเชียงราย แต่ตอนนี้ไม่เหลือง เพราะเป็นฤดูหนาว ก็อีกแหละ น้องบรรยายก็บอกอีกว่าจะเหลืองก็ช่วงหน้าร้อน ก็คือมีนาหรือเมษา สังเกตถนนทางเข้าไร่นะ ยังเป็นดินอยู่เลย ก็เค้าเพิ่งจะเปิดให้เราเข้ามากันไม่ถึงปีนี่เอง
ไร่ชา ซึ่งผลผลิตที่ได้ ส่วนใหญ่ส่งออกขายต่างประเทศหมด จากรูปจะเห็นว่าคนงานกำลังง่วนเก็บยอดชากันใหญ่เลย อันนี้ไม่ได้สร้างภาพโชว์สาธิตเก็บใบชานะ แต่ตอนที่ไป เค้าได้เวลาเก็บกันพอดี ตอนนั้นน่าจะสิบโมงได้แล้ว
ตัวอย่างยอดใบชาที่เค้าเก็บกัน สามใบจากยอด พอได้แบบนี้แล้วก็เอาไปเข้าสู่กระบวนการอบแห้งต่อไป
จุดแรกที่รถจอดให้เราลงไปเดินชม คือ ไร่พุทรา พันธุ์อะไรก็จำไม่ได้แล้ว จำได้แต่รสชาดหวานกรอบดีจัง ลูกก็โตใช้ได้เลย
จุดต่อมา คือไร่สตอเบอรี่พันธุ์พระราชทาน ซึ่งสตอเบอรี่พันธุ์นี้จะให้รสชาดที่หวานหอมกว่าที่เราคนกรุงชอบซื้อกิน ที่ลูกโตๆ แต่รสชาดเปรี้ยวอย่างเดียว ไม่มีความหอมใดๆ ทั้งสิ้น ตรงจุดนี้เองจะมีบริเวณที่เค้าเอาต้นสตอเบอรี่มาปลูกโชว์ให้สูงจากพื้นไว้ให้ชาวเราได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกลับไป ถ้าขืนให้เดินลงไปถ่ายรูปในไร่เลย สงสัยคงไปเดินเหยียบของเค้าตายหมดแน่
ดอกของต้นสตอเบอรี่ เราว่าคล้ายดอกของต้นตะขบนะ ตูมๆ เล็กๆ ที่เห็นคือ ลูกสตอเบอรี่อ่อน
ส่วนตรงนี้สีแดงสดเลย พร้อมเด็ดเข้าปาก น่ากินมากมาย
ส่วนต้นนี้ยังอยู่ในถุงเพาะชำ ขนาดอยู่ในถุง ยังออกดอกแล้ว รออีกไม่นานก็จะติดเป็นลูกสีสดกันต่อไป
จุดต่อมาที่รถของไร่พาเรามาชมก็คือ ส่วนจัดแสดงการปลูกพืชสวนครัว หรือการเน้นให้เราซึมซับการเพาะปลูกพืชสวนครัวไว้กินเอง แบบที่เค้าปลูกไว้นี่ก็คือสารพัดแตง และน้ำเต้า ที่ทำเป็นซุ้มขนาดใหญ่ให้เรามุดเข้าไปถ่ายรูปได้
หรือแบบนี้ แค่เด็ดก็ได้แล้วสลัดจานโต
และนี่ ผัดผักบุ้งไฟแดง คะน้าน้ำมันหอย
และแค่ยอดน้ำเต้าธรรมดา แต่มีคนมารุมถ่ายรูป ให้มานึกว่า ไอ้ภาพพวกนี้มันน่าจะเป็นภาพที่เราเห็นจนชิน แต่ ณ ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ภาพนี้หายจากบ้านหลายๆ บ้านนานแล้ว
กับที่นี่ ไม่ต้องไปรอให้รุ้งเกิดหลังฝนตกอีกต่อไป แค่เปิดฝอยน้ำให้กระทบเปลวแดด รุ้งตัวเล็กๆ ก็พลันโผล่ขึ้นมาให้เห็นต่อหน้า
ที่นี่ นอกจากจะมีไร่สวยให้ชมแล้ว ยังมีห้องอาหารที่เอาวัตถุดิบจากในไร่มาปรุงเป็นเมนูพร้อม เสริฟคุณๆ รอแค่ให้คุณแวะเข้าไปเท่านั้น....
และแล้วก็ถึงเวลาลาจากไร่แห่งนี้แล้ว เพราะรถขับเรื่อยเอื่อยมาถึงทางออก ก็ที่เดียวกับที่เราขึ้นรถนั่นแหละ เห็นไร่นี้แล้ว บางคนอาจได้ความประทับใจในความสดชื่นของไร่ชา ไร่สตอเบอรี่ บางคนอาจได้ถ่ายรูป และได้เพิ่มสถานทีท่องเที่ยวในลิสต์ขึ้นมาอีกหนึ่งที่ แต่สำหรับเรา เราได้ไอเดียที่ผุดเข้ามาในสมองว่า ถ้าเรามีโอกาส เราอยากทำไร่ในลักษณะนี้ ให้เป็นที่ที่อ้าแขนรับทุกคนให้เข้ามาชมด้วยความเต็มใจ ให้เป็นที่ที่เติมไฟ เติมพลังให้ทุกคนที่แวะผ่านมา.....ว่าแต่ใครจะสนับสนุนความฝันอันนี้ของเรามั่ง...ขอแค่ที่ดินซักร้อยไร่พอ
วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555
สุกี้....ง่ายกว่านี้มีอีกมั๊ย
ก่อนอื่นขออกตัวดังเอี๊ยดเลยว่า ที่วันนี้คิดจะทำสุกี้เนี่ย อันดับแรกก็คงจะเพราะอยากกิน อันดับสองคือ ดันมีเครื่องปรุงต่างๆ ที่เอาไว้ทำสุกี้ซะครบถ้วนเลย นอนแอ้งแม้งอยู่ในตู้เย็นมาหลายเพลาแล้ว และสามคือ วันนี้ไปถอยหม้อญี่ปุ่นมาชุดนึง อันนี้น่าจะเป็นต้นเหตุที่สำคัญที่สุด ก็แหมนั่งดูรายการทำอาหารของญี่ปุ่นเค้า เค้าทำกับข้าวหลายอย่างด้วยหม้อแบบนี้แหละ เราบังเอิญไปเจอวางขายอยู่ที่ร้านไดโสะ ที่แฟชั่น ที่เค้าขายทุกอย่างหกสิบ แต่ชุดนี้ไม่หกสิบนะ มันร้อยยี่สิบตะหาก แล้วมีแถมถ้วยแบ่งมาให้อีกใบ เลยสอยมาเลย....จ่ายตังค์ปุ๊บ รีบวิ่งแน่บกลับบ้าน..ด้วยอาการลั้นลา..ลั้นลันลา...วันนี้ชั้นจะทำสุกี้ วันนี้ชั้นจะกินสุกี้...
กลับมาถึงบ้าน ไม่รอช้า ได้หม้อมาแล้ว ล้างซะหน่อย ยกขึ้นตั้งไฟเลย เห็นมะมันดีก็ตรงนี้แหละ ตั้งบนเตาไฟได้เลย แล้วเอ่อ...แต่ว่า...ถ้าไม่มีไอ้หม้อแบบนี้ล่ะ...แล้วผม หนู ชั้น หรือกูจะเอาอะไรมาทำ...เฮ้อ..ขอตอบเลยนะคะก็หม้ออะไรก็ได้ที่บ้านนั่นแหละ ใช้ได้เหมือนกันแหละ...
เอาหม้อตั้งไฟแล้ว เติมน้ำเปล่าลงไปประมาณหนึ่งแก้วครึ่ง เติมซีอิ๊วขาวลงไปหน่อย ปิดฝาแล้วเปิดไฟอ่อนสุด
ทีนี้ก็ไปเอาผัก และเนื้อสัตว์ ที่ค้นพบได้ในตู้เย็น เอามาล้างอีกรอบ และหั่น ยาวสั้นแล้วแต่ชอบ ของเราวันนี้มีผักบุ้งประมาณ 6 ต้น คึ่นช่าย 3 ต้น ต้นหอม 5 ต้น แล้วก็กวางตุ้งจิ๋วๆ อีกประมาณ 8 ต้น ที่จิ๋วเพราะใบใหญ่ข้างนอกมันเหลืองหมด เด็ดทิ้งเลยเหลือแต่ต้นจิ๋วข้างใน แล้วก็วุ้นเส้นที่เหลือจากผัดวุ้นเส้นเหม็นวันก่อน อีกขยุ้มนึง แล้วก็ไข่ดิบ 1 ฟอง อ้อ..มีไก่ด้วย ไม่รู้อยู่มานานแค่ไหนแล้ว วันนี้เพิ่งจะค้นเจอ แต่ถ้าในตู้เย็นไม่มีอะไรเลย แนะนำว่าให้เดินไป โลตุสเอ็กเพรส มีทุกอย่างที่บอกไปครบเลย หรือตลาดสดใกล้บ้านก็ได้ ถ้าบ้านอยู่ใกล้ตลาด ผักสามกำสิบบาทยังพอหาซื้อได้นะจ๊ะ...
ทุกอย่างพร้อม น้ำเริ่มเดือดหน่อยๆ แล้ว ก็ค่อยๆ บรรจงเรียงผัก และเนื้อสัตว์ลงไป แล้วก็หยอดไข่ดิบลงไป พยายามเรียงโดยนึกถึงแบบที่เห็นในโฆษณาเอ็มเคนะ เราเรียงของเราได้แบบนี้
ปิดฝาซะ ตั้งไฟอ่อนเหมือนเดิม แป๊บเดียวเองน้ำเดือดปุดๆ ผัก และไก่สุกแล้ว ใครชอบแบบไข่ดิบก็ยกลงตอนนี้เลยก็ได้ หรือถ้าชอบไข่สุก ก็ตีไข่ให้แตกกระจายลงในน้ำเลย แล้วรออีกแป๊บนึง แล้วค่อยยกลง หม้อญี่ปุ่นเค้าเก็บความร้อน ยกลงมาจากเตาแล้วน้ำยังเดือดปุดๆ อยู่เลย
เติมน้ำจิ้มสุกี้ลงไป อ้อ...ลืมอีกแล้ว ลืมบอกไปว่าต้องมีน้ำจิ้มสุกี้ด้วย ของเราวันนี้เลือกใช้แบบสำเร็จรูป ซื้อมาจากโลตุสอีกเช่นเคย ขวดละสี่สิบห้าบาท น่าจะกินได้ซักสามหรือสี่ครั้งนะ เทลงไปประมาณสองช้อนโต๊ะ เพื่อเพิ่มความเข้มข้นให้สุกี้ของเรา หรือใครชอบเข้มข้นสุดๆ ก็ใส่ลงไปอีกตามสะดวก แล้วก็เทใส่ถ้วยเอามาจิ้มเป็นน้ำจิ้มด้วย หั่นพริกขี้หนูสด กับกระเทียมสดเติมลงไป เอาให้เหมือนเอ็มเคเค้า...
เท่านี้ก็ได้สุกี้พร้อมเสริฟแบบร้อนๆ ควันฉุย ใครนึกอยากกินขึ้นมาตอนนี้ รีบวิ่งไปโลตุสได้เลยจ้า....ส่วนเราขอเอาข้าวสวยใส่ลงไปหน่อย เพราะกินผักกับเนื้อหมดแล้วเหลือน้ำข้นๆ แต่ยังไม่อิ่ม ว่าจะเอาข้าวสวยเติมลงไปซักทัพพีเล็กๆ ราดด้วยน้ำจิ้มที่เหลือก้นถ้วย แค่นี้ไม่เรียกโคตรอิ่ม..ก็ไม่รู้จะว่างัยแล้ว............สุขีกับเมนูล้างตู้เย็นของวันนี้จ้าาาาา
วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555
พระอาทิตย์ตก ณ ดอยผาตั้ง เชียงราย
เอารูปนี้มาลงให้ดูก่อนเลย ถ้าใครเคยขึ้นไปผาตั้ง จะคุ้นกับภาพนี้ ที่เห็นยอดแหลมๆ ตรงนั้น คืออีกมุมนึงของภูชี้ฟ้า มาที่นี่ผาตั้ง เหมือนได้มาสัมผัสสองที่ที่เป็นไฮไลท์ของจังหวัดเชียงราย ตรงจุดที่เรายืนนี้คือเนิน 102 ติดตามอ่านกันต่อนะจ๊ะ
มาเริ่มที่การเดินทางกันก่อนดีกว่า เราเริ่มเดินทางจากตัวเมืองเชียงราย ใช้เส้นทางเชียงราย-เวียงชัย แล้วไปถึงอำเภอพญาเม็งราย มุ่งหน้าบ้านต้า ถ้าไม่ชอบจำชื่อ อยากจำแต่ตัวเลข ก็ใช้ทางหลวงหมายเลข 1233 ต่อด้วย 1174 และ 1152 ต่อด้วย ทางหลวง 1020 ระยะทาง 45 กิโลเมตร จะถึงบ้านท่าเจริญ แล้วต่อด้วยเวียงแก่น จนถึงปางหัด ด้วยทางหลวงหมายเลข 1155 อีก 17 กิโลเมตร และจากปางหัดถึงดอยผาตั้ง อีก 15 กิโลเมตร ที่จำได้เพราะใช้ GPS ในมือถือเป็นตัวนำทาง แต่ความจริงเส้นทางไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด มีป้ายบอกทางไปตลอด รับรองไม่หลง หรือจะเกาะป้ายภูชี้ฟ้าก็ได้ แล้วสุดท้ายจะมีทางแยกบอกทางเราขึ้นผาตั้ง เส้นทางขับรถค่อนข้างง่าย อาจจะมีบางช่วงเป็นหลุมบ่อบ้าง เนื่องจากดินสไลด์ แต่ก็มีการซ่อมแซมกันตลอดเวลา
เก็บภาพนี้ได้ระหว่างเดินทาง เรากำลังเดินทางจากพื้นดินขึ้นบนที่สูง สูงจนบางครั้งเรายังสงสัยว่าคนสมัยก่อนเค้าเดินทางกันยังงัยนะ
เหมือนรูปตอนสมัยเด็กๆ ที่หลายคนชอบวาด มีภูเขาสองลูก มีพระอาทิตย์ขึ้นตรงกลาง มีทิวเขาสลับไปสุดสายตา
ดอกพญาเสื่อโคร่ง หรือซากุระ ออกดอกบานตลอดทางที่เราเหยียบขึ้นดอยผาตั้ง บางที่ที่เคยไป มีขึ้นอยู่แค่ต้นหรือสองต้น แต่ที่นี่ ขึ้นต้นสูงตระหง่านทั่วทุกที่ของดอยผาตั้ง กระทั่งหน้าห้องน้ำ
เราแวะพูดคุยกับอดีตทหารที่มาตั้งรกรากเปิดร้านอาหารชื่อร้านบ้านดิน พี่เค้าเล่าให้ฟังว่า แต่เดิมคนที่อยู่ที่นี่เป็นชาวเขา ส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรม เท่าที่เห็นด้วยตาตัวเอง จะเห็นข้าวโพด และกะหล่ำปลี และกลุ่มทหารที่มาตั้งฐานปกปักดินแดน ซึ่งก็คงคล้ายกับผู้พันต่วน ที่ดอยแม่สลองนั่นเอง พอนานไปก็เลยตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ และพอการท่องเที่ยวพัฒนามากขึ้น จึงมีการสร้างเป็นห้องพักน่ารักๆ และทำอาหารพื้นเมือง เช่น ขาหมูหมั่วโถว ไข้ยัดไส้ยูนนาน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวสร้างรายได้ แต่ถ้าใครต้องการมานอนกางเตนท์ที่นี่ก็มีสถานที่รองรับ แถมสะดวกสบาย ที่นี่สามารถมาเที่ยวได้ทุกฤดู วันที่เราไปมีนักท่องเที่ยวบางตา อาจจะเพราะเป็นวันหลังจากปีใหม่ไปแล้ว เราเลยขอเก็บภาพแมวของอดีตทหารท่านนี้มาให้ดูกัน กำลังนอนอาบแดดคลุกฝุ่นสบายเลย
เอาล่ะ เราเริ่มออกเดินไปตามเส้นทางแห่งดอยผาตั้งกัน จากจุดที่เราอยู่ เดินประมาณสองร้อยเมตรจะเห็นประตูที่ออกแบบไว้อย่างสวยงาม เป็นป้ายขนาดใหญ่ บอกว่าท่านมาถึงดอยผาตั้งแล้ว ใกล้กันนั้นเองจะเป็นผาบ่อง ซึ่งเป็นประตูสู่ประเทศลาว เป็นเส้นทางเดินผ่านถ้ำ วันนั้นเราไม่ได้เดินเข้าไปเนื่องจากเวลาล่วงเลยไปประมาณห้าโมงเย็นแล้ว ผาบ่องเลยเริ่มมืด
ทางเดินลงผาบ่อง เริ่มมืด เราเลยไม่กล้าลงไป แต่เห็นดอกซากุระออกดอกไสวอยู่ตรงปากทางเข้า
จากผาบ่อง เดินประมาณ 50 เมตรจะเจอหินก้อนใหญ่รูปร่างหน้าตาคล้ายสฟิงค์ ที่อียิปต์ ในมุมมองของเราเองนะ หรือใครจะมองเป็นอย่างอื่นก็สุดแต่จินตนาการ
เดินต่อมาอีกเพียง 50 เมตรจะเจอเก๋งจีน สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้นายพลหลี
จากเก๋งจีนอนุสรณ์นายพลผู้กล้า เดินมาอีกประมาณ 50 เมตรจะเห็นป่าหินยูนนาน แต่เรามาถึงที่นี่เย็นมากแล้ว กลัวจะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกดิน เลยรีบเดินจ้ำๆ ไปที่เนิน 102
ก่อนจะถึงเนิน 102 ต้องผ่านช่องเขาขาด ตรงจุดนี้ถ้าเรามองออกไปจะเห็นแม่น้ำโขงอยู่ลิบๆ วันนี้มีแถมพระจันทร์ดวงน้อยที่เพิ่งจะขึ้นมาให้เห็น
มองลอดจากช่องเขาขาด จะเห็นแม่น้ำโขงอยู่ไกลๆ
เดินไต่บันไดดิน แข่งกันม้าแคระ ขึ้นไปอีกประมาณสองร้อยเมตร จะถึงเนิน 102 และบนนี้เอง จะเป็นจุดที่สามารถวิวได้รอบชนิด 360 องศา สวยแบบไม่มีอะไรมาบัง
มีระฆังเอาไว้ให้เคาะบอกเทวดา ว่าเรามาถึงแล้วนะเว้ยเฮ้ยท่าน.....เราไม่กล้าเคาะ กลัวมันดัง
แม่น้ำโขงจากเนิน 102
มุมนี้ภูชี้ฟ้า ก็คือยอดเขาที่เห็นแหลมๆ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า ทาทับเงาร่างลางๆ ของคนขับรถของเราทริปนี้ หลานสาวช้านนนนน......
ใกล้ลาลับ แต่จะกลับมาพรุ่งนี้เช้า จากมุมทางเดินไปเนิน 103 จากจุดนี้ต้องเดินอีกประมาณ 800 เมตร ซึ่งถ้านับล้วเดินไปกลับน่าจะเกือบสองกิโลได้ ไม่น่าจะไปทันเห็นพระอาทิตย์ตกที่เนินนั้นแน่นอน
เลยตัดสินใจลงมาหาอะไรกินกันที่หน้าทางเข้าผาบ่อง มีของกิน ของที่ระลึกขายเยอะ รับรองไม่ต้องกลัวอด เราลองซื้อข้าวปุกงา ราดนมข้นอันละสิบบาทมาลองกิน ท่ามกลางอากาศเย็นๆ แบบนี้ กินของพื้นบ้านอุ่นๆ สุดยอดแล้ว
วันนั้นเราตัดสินใจกลับลงมาหาที่พักในตัวเมืองเชียงราย เพราะพรุ่งนี้เรามีอีกจุดหมายตามการแนะนำของหลานช้านนน...อีกที่ ซึ่งที่นี่น่าจะเหมาะสำหรับคนชอบเที่ยวไร่ ชอบซื้อของฝากมาก
เราได้แต่อธิษฐานในใจตอนเดินทางกลับว่า ฉันอยากมีเวลาให้ที่นี่มากกว่านี้ อยากเห็นทะเลหมอก ณ จุดที่ได้รับการรับรองจากนักท่องเที่ยวแทบทุกคนเลยว่า...สวยมาก ถ้ามีการจัดอันดับ ที่นี่จะต้องติดหนึ่งในสิบ และเป็นอันดับต้นๆ แน่นอน เพราะด้วยความที่อยู่บนจุดที่ไม่มีสิ่งใดมาขวางสายตา อยากมาเห็นด้วยตาของตัวเอง นั่นคงเป็นอีกเหตุผลที่จะต้องนำตัวเรากลับมาที่นี่อีกให้ได้....ว่าแต่ใครสนใจจะไปกับเราบ้าง
วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555
เห็ดทอดมาแล้วจ้า
วันนี้เมนูแสนง่าย ง่ายจนไม่รู้จะง่ายยังงัยแล้ว แค่มีเครื่องปรุงไม่กี่อย่างก็ได้อาหารว่างกินเพลินๆ กินแกล้มเบียร์ วิสกี้บางๆ (อีกแล้วกับแกล้มเหล้าอีกแล้ว ทำงัยได้ก็ใจมันรักอ่าาา) หรือในวันว่างๆ เสาร์อาทิตย์ ลองทำกินกันในครอบครัว อาจจะช่วยให้คนที่ไม่ชอบเข้าครัว อยากเข้าครัวทำเมนูนี้ แล้วยังปรับใส่อย่างอื่นที่ไม่ใช่เห็ดก็ได้ ผักที่คุณชอบ หมู กุ้ง ไก่ แล้วแต่จะเอาไปปรับกัน และเมนูทอดๆ แบบนี้อาจจะช่วยให้เด็กๆ อยากเข้ามาช่วยคุณแม่ทำกับข้าว หรือจะใช้เอาไว้อ้อนแฟนให้มาช่วยกันทำก็ได้ เธอชุบแป้งหย่อนกะทะ ชั้นคอยกลับ...อุ๊ยดูดิคะที่รัก น้ำมันกระเด็นใส่แขนเค้าเลย...เป่าให้หน่อยดิ..นะนะ...น้า..น๊า..แหม..ไม่รักเค้าแล้วหรองัย...วุ๊ยว๊ายไหม้แล้วอ่าาา....อ่ะ จะออกไปทางแอ๊บเยอะไปแล้ว กลับมาที่เมนูของเราวันนี้ดีกว่า นอกจากจะประหยัดแล้ว ยังให้ประโยชน์จากเห็ดด้วยนะจ๊ะ
เริ่มด้วยหาวัตถุดิบก่อน วันนี้เห็ดทอด งั้นต้องวิ่งไปหาซื้อเห็ดก่อน ซักสองขีด ก็เห็ดง่ายๆ แหละ เห็ดนางฟ้า จะไทย จะภูฏาน ได้หมด แต่เป็นเห็ดหอม หรือแชมปิญ็อง ไม่แนะนำ มันหนา แบบนั้นจะเหมาะกับการเอาไปอบเนย หรือผัดกับซีอิ๊วจะอร่อยกว่า วันหลังจะมาทำให้ชิม ได้เห็ดแล้ว ก็แค่เอามาล้างซะหน่อย แล้วผึ่งให้แห้ง ย้ำให้แห้ง
ต่อมาก็คงน้ำมันสำหรับทอด มากหน่อย วันนี้เราใช้ประมาณครึ่งขวด แต่หลังจากทอดเมนูนี้แล้วก็เก็บไว้ทำกับข้าวอื่นได้อีกนะ แล้วก็แป้งชุบทอดแบบปรุงสำเร็จห่อนึง 90 กรัม วันนี้เราเลือกใช้สูตรเผ็ด มีขายทั่วไป โลตุส บิ๊กดี ห่อละสิบสองบาทเอง ต่อมาก็โซดาแช่เย็นๆ ขวดนึง ที่ใช้โซดาเพราะจะช่วยให้ของทอดของเรากรอบนานขึ้น ใช้ไม่หมดดอกเจ้า ที่เหลือก็เอามาผสมวิสกี้ได้หลายแก้ว ครบแล้ว แค่นี้แหละ มาทำกันเลย
ก่อนอื่นเอาหม้อหู หรือกะทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันลงไปรอให้ร้อน
ระหว่างรอกะทะร้อน มาผสมแป้งดีกว่า เอาแป้งทั้งถุงเทใส่ถ้วยขนาดเหมาะๆ อย่าให้เล็กเกินไปนัก เวลาเอาเห็ดลงไปชุบมันจะลำบากเน้อ แล้วก็เอาโซดาเย็นๆ เทลงไป ค่อยๆ เทนะ...แน่ะ..บอกว่าค่อยๆ เท อย่าเทพรวดพราด เดี๋ยวแป้งมันเหลวเกินไป เวลาเอาเห็ดลงไปชุบแป้งมันจะไม่ติด ค่อยๆ คนจนแป้งเหลวกำลังดี ลองเอาช้อนที่คุณกำลังคนนั่นแหละแตะแป้งแล้วยกขึ้น ถ้าแป้งไหลลงถ้วยเป็นสายสวยงามไม่หยดแหมะๆ เป็นอันใช้ได้
กะทะร้อนแล้ว ใช้ไฟร้อนปานกลาง ไปทางอ่อนนะ หรือจะเปิดไฟอ่อนไปเลยก็ได้ ก็เอาเห็ดลงไปชุบในแป้งพอให้ทั่วๆ เต็มดอกเห็ด
แล้วก็จับหย่อนลงกะทะ กลับสองทีพอแล้ว อย่ากลับไปกลับมา เวียนหัว
ดูแล้วสีเหลืองกำลังสวย ถ้าเหลืองไปมากกว่านี้ หมายถึงไหม้ แต่แป้งวันนี้เราเลือกใช้สูตรเผ็ด สีอาจจะออกมาเข้มกว่าสูตรปกติหน่อยนึง แต่สีนี้แหละ ใช้ได้แล้ว ตักขึ้นเอามาสะเด็ดน้ำมัน หรือเอามาวางบนกระดาษซับน้ำมันก็ได้
จัดใส่จานโลด แต่ของเรากินในกะละมังนี่แหละ จิ้มกับซ๊อสพริก ซ๊อสมะเขือเทศ หรือน้ำจิ้มไก่ ก็ได้ แต่ของเราเลือกซ๊อสพริก
เด็กๆ กินได้ ผู้ใหญ่ทำกินดี เอาไว้เป็นทางเลือกเวลาคิดอะไรไม่ออกว่าจะทำอะไรกินนะเจ้าค่ะ คุณๆ อันเป็นที่รัก....ไปแล้ว ขอไปเอาโซดาที่เหลือชงเหล้ามาดื่มกินแกล้มเห็ดทอดจานนี้ก่อน...ไปล่ะ
เริ่มด้วยหาวัตถุดิบก่อน วันนี้เห็ดทอด งั้นต้องวิ่งไปหาซื้อเห็ดก่อน ซักสองขีด ก็เห็ดง่ายๆ แหละ เห็ดนางฟ้า จะไทย จะภูฏาน ได้หมด แต่เป็นเห็ดหอม หรือแชมปิญ็อง ไม่แนะนำ มันหนา แบบนั้นจะเหมาะกับการเอาไปอบเนย หรือผัดกับซีอิ๊วจะอร่อยกว่า วันหลังจะมาทำให้ชิม ได้เห็ดแล้ว ก็แค่เอามาล้างซะหน่อย แล้วผึ่งให้แห้ง ย้ำให้แห้ง
ต่อมาก็คงน้ำมันสำหรับทอด มากหน่อย วันนี้เราใช้ประมาณครึ่งขวด แต่หลังจากทอดเมนูนี้แล้วก็เก็บไว้ทำกับข้าวอื่นได้อีกนะ แล้วก็แป้งชุบทอดแบบปรุงสำเร็จห่อนึง 90 กรัม วันนี้เราเลือกใช้สูตรเผ็ด มีขายทั่วไป โลตุส บิ๊กดี ห่อละสิบสองบาทเอง ต่อมาก็โซดาแช่เย็นๆ ขวดนึง ที่ใช้โซดาเพราะจะช่วยให้ของทอดของเรากรอบนานขึ้น ใช้ไม่หมดดอกเจ้า ที่เหลือก็เอามาผสมวิสกี้ได้หลายแก้ว ครบแล้ว แค่นี้แหละ มาทำกันเลย
ก่อนอื่นเอาหม้อหู หรือกะทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันลงไปรอให้ร้อน
ระหว่างรอกะทะร้อน มาผสมแป้งดีกว่า เอาแป้งทั้งถุงเทใส่ถ้วยขนาดเหมาะๆ อย่าให้เล็กเกินไปนัก เวลาเอาเห็ดลงไปชุบมันจะลำบากเน้อ แล้วก็เอาโซดาเย็นๆ เทลงไป ค่อยๆ เทนะ...แน่ะ..บอกว่าค่อยๆ เท อย่าเทพรวดพราด เดี๋ยวแป้งมันเหลวเกินไป เวลาเอาเห็ดลงไปชุบแป้งมันจะไม่ติด ค่อยๆ คนจนแป้งเหลวกำลังดี ลองเอาช้อนที่คุณกำลังคนนั่นแหละแตะแป้งแล้วยกขึ้น ถ้าแป้งไหลลงถ้วยเป็นสายสวยงามไม่หยดแหมะๆ เป็นอันใช้ได้
กะทะร้อนแล้ว ใช้ไฟร้อนปานกลาง ไปทางอ่อนนะ หรือจะเปิดไฟอ่อนไปเลยก็ได้ ก็เอาเห็ดลงไปชุบในแป้งพอให้ทั่วๆ เต็มดอกเห็ด
แล้วก็จับหย่อนลงกะทะ กลับสองทีพอแล้ว อย่ากลับไปกลับมา เวียนหัว
ดูแล้วสีเหลืองกำลังสวย ถ้าเหลืองไปมากกว่านี้ หมายถึงไหม้ แต่แป้งวันนี้เราเลือกใช้สูตรเผ็ด สีอาจจะออกมาเข้มกว่าสูตรปกติหน่อยนึง แต่สีนี้แหละ ใช้ได้แล้ว ตักขึ้นเอามาสะเด็ดน้ำมัน หรือเอามาวางบนกระดาษซับน้ำมันก็ได้
จัดใส่จานโลด แต่ของเรากินในกะละมังนี่แหละ จิ้มกับซ๊อสพริก ซ๊อสมะเขือเทศ หรือน้ำจิ้มไก่ ก็ได้ แต่ของเราเลือกซ๊อสพริก
เด็กๆ กินได้ ผู้ใหญ่ทำกินดี เอาไว้เป็นทางเลือกเวลาคิดอะไรไม่ออกว่าจะทำอะไรกินนะเจ้าค่ะ คุณๆ อันเป็นที่รัก....ไปแล้ว ขอไปเอาโซดาที่เหลือชงเหล้ามาดื่มกินแกล้มเห็ดทอดจานนี้ก่อน...ไปล่ะ
วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555
กลับมาอีกครั้ง กิ่วแม่ปาน ดอยอินทนนท์
จั่วหัวไว้ว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งของเรา ยังกิ่วแม่ปาน เชียงใหม่ จำได้ว่าครั้งแรกที่ไปห่างจากครั้งนี้แค่สิบปีเอง แต่ภาพความทรงจำ ความประทับใจครั้งนั้นยังคงติดอยู่ในรอยหยักของสมองเรา คอยกระตุ้นเตือนเรา เหมือนเข็มแห่งความสุขเล็กๆ ที่คอยจิ้มความรู้สึกลึกๆ แต่กระจ่างใสของเรา ให้หาทางกลับยังที่แห่งนี้ให้ได้ และแล้ววันนี้ วันที่ทุกอย่างช่างปลอดโปร่ง เราก็ได้กลับมาที่นี่ ซึ่งเราบอกเลยว่า ถ้าใครได้เคยไปที่แห่งนี้ จะต้องหาทางกลับมาที่นี่อีกเหมือนเราแน่นอน
อธิบายคร่าวๆ ตามสไตล์หลวมๆ ของเรา ถึงสถานที่แห่งนี้ก่อน เอาแบบให้เห็นภาพจากตัวหนังสือ ก่อนไปเห็นภาพจริง กิ่วแม่ปาน อยู่ตรงทางขึ้นดอยอินทนนท์ คือ เลยจากด่านจ่ายค่าเยี่ยมชมอุทยานมาประมาณสองกิโลเห็นจะได้ อยู่ซ้ายมือ ถ้าขึ้นดอยอินทนนท์ตอนเช้า รับรองเลย รถแทบทุกคันจะต้องมาจอดที่บริเวณนี้ เพราะจะมาถ่ายรูปตอนพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งจะเป็นมุมมองที่สวยมาก หากไม่ต้องการเดินทางไกลนัก และตรงจุดนี้เอง จะเป็นแหล่งขายของกิน ช่วยคลายหนาว ช่วยให้หลายๆ คนได้มีโอกาสเตรียมตัวก่อนขึ้นดอยอินทนนท์ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความเย็น หากใครต้องการสัมผัสกับอากาศเย็นบนยอดดอยสักครั้ง ต้องหาโอกาสไปให้ได้ ดอยอินทนนท์ แต่บอกก่อนนะว่า ต้องแวะที่นี่ก่อน ขอให้บรรจุกิ่วแม่ปานเอาไว้ในโปรแกรมของคุณ 3 กิโลเมตรที่จะเติมพลังชีวิตให้คุณได้ตลอดการเดินทาง
จอดรถเรียบร้อย มาเริ่มการเดินของเรากันเถอะ ใช่แล้ว กิ่วแม่ปาน เป็นทางเดินศึกษาธรรมชาติระยะทางทั้งสิ้น 3 กิโลเมตร มีหมุดหรือฐานให้ความรู้จำนวน 21 หมุด ใช้เวลาในการเดินทั้งสิ้นประมาณ 3-4 ชั่วโมง และยังเป็นที่อยู่อย่างเงียบๆ ของผืนป่ากุหลาบพันปีอีกด้วย บางคนบอก...เฮ้ย ทำไมนานจัง เราจะไม่ตอบตอนนี้ ขอให้ติดตามตอนต่อไป
หลังจากติดต่อเจ้าหน้าที่ หรือไกด์นำทางประจำท้องถิ่น พร้อมกับจ่ายค่าบริการทั้งคณะสองร้อยบาท จะมากี่คนก็สองร้อย ลงชื่อ ลงเวลากันเล็กน้อย ก็พร้อมเดินกันแล้วหล่ะ...ตื่นเต้นจัง..วันนั้นกับวันนี้จะสวยเหมือนกันมั๊ยนะ ภาพในวันวานลอยมาในความคิดทันที
พระอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ สวยไม่แพ้ทีใดในโลก กับวันที่อุณหภูมิ 9 องศา
กับคนที่เราไปด้วย อาเราเอง
งามเต็มตา จากกล้องดิจิตอลตั้งโหมดออโต้ธรรมดา เพราะตั้งอย่างอื่นไม่เป็น
อรุณเป็นใจให้พวกเราออกย่ำเดินกันแล้ว เริ่มเดินจากจุดแรกกันเถอะ เมื่อเดินเข้าไปไม่ไกล หรือระยะร้อยเมตรแรก ก็จะเจอกับภาพต้นไม้รกครึ้ม พร้อมกับพืชพันธุ์ที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ แบบต้นนี้ เฟิร์นใบบาง และมอส
ต้นกำเนิดของแม่น้ำปิง ก็คือที่นี่ ที่เห็นคือน้ำตก อาจจะไม่ใหญ่มาก แต่เป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญ ถ้าไม่มีที่นี่ ก็ไม่มีแม่น้ำปิง เราคงต้องกลับไปท่องชื่อแม่น้ำที่มารวมกันเป็นแม่น้ำเจ้าพระยากันใหม่หมด น้ำเย็นเฉียบเลย เพราะตอนก่อนขึ้นมา เราเข้าห้องน้ำที่ทางอุทยานเข้าทำไว้ น้ำในห้องน้ำก็ใช้น้ำจากแหล่งนี้แหละ ทำเป็นระบบประปาภูเขาไหลลงไปให้ประชาชนใช้กัน
เดินต่อจากน้ำตก จะเจอสะพานไม้อันแรก ที่ปกคลุมด้วยต้นไม้ ให้บรรยากาศร่มรื่น ซึ่งในการเดินครั้งนี้ เราต้องเจอสะพานทั้งหมด 3 สะพาน
เดินต่อ สำรวจสองข้างทาง จะเห็นเจ้าต้นนี้โบกใบเล็กๆ ต้อนรับไหวๆ เห็นเม็ดสปอร์ใต้ใบ เตรียมพร้อมจะเติบโตเป็นต้นใหม่ต่อไป
อธิบายคร่าวๆ ตามสไตล์หลวมๆ ของเรา ถึงสถานที่แห่งนี้ก่อน เอาแบบให้เห็นภาพจากตัวหนังสือ ก่อนไปเห็นภาพจริง กิ่วแม่ปาน อยู่ตรงทางขึ้นดอยอินทนนท์ คือ เลยจากด่านจ่ายค่าเยี่ยมชมอุทยานมาประมาณสองกิโลเห็นจะได้ อยู่ซ้ายมือ ถ้าขึ้นดอยอินทนนท์ตอนเช้า รับรองเลย รถแทบทุกคันจะต้องมาจอดที่บริเวณนี้ เพราะจะมาถ่ายรูปตอนพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งจะเป็นมุมมองที่สวยมาก หากไม่ต้องการเดินทางไกลนัก และตรงจุดนี้เอง จะเป็นแหล่งขายของกิน ช่วยคลายหนาว ช่วยให้หลายๆ คนได้มีโอกาสเตรียมตัวก่อนขึ้นดอยอินทนนท์ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความเย็น หากใครต้องการสัมผัสกับอากาศเย็นบนยอดดอยสักครั้ง ต้องหาโอกาสไปให้ได้ ดอยอินทนนท์ แต่บอกก่อนนะว่า ต้องแวะที่นี่ก่อน ขอให้บรรจุกิ่วแม่ปานเอาไว้ในโปรแกรมของคุณ 3 กิโลเมตรที่จะเติมพลังชีวิตให้คุณได้ตลอดการเดินทาง
จอดรถเรียบร้อย มาเริ่มการเดินของเรากันเถอะ ใช่แล้ว กิ่วแม่ปาน เป็นทางเดินศึกษาธรรมชาติระยะทางทั้งสิ้น 3 กิโลเมตร มีหมุดหรือฐานให้ความรู้จำนวน 21 หมุด ใช้เวลาในการเดินทั้งสิ้นประมาณ 3-4 ชั่วโมง และยังเป็นที่อยู่อย่างเงียบๆ ของผืนป่ากุหลาบพันปีอีกด้วย บางคนบอก...เฮ้ย ทำไมนานจัง เราจะไม่ตอบตอนนี้ ขอให้ติดตามตอนต่อไป
หลังจากติดต่อเจ้าหน้าที่ หรือไกด์นำทางประจำท้องถิ่น พร้อมกับจ่ายค่าบริการทั้งคณะสองร้อยบาท จะมากี่คนก็สองร้อย ลงชื่อ ลงเวลากันเล็กน้อย ก็พร้อมเดินกันแล้วหล่ะ...ตื่นเต้นจัง..วันนั้นกับวันนี้จะสวยเหมือนกันมั๊ยนะ ภาพในวันวานลอยมาในความคิดทันที
พระอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ สวยไม่แพ้ทีใดในโลก กับวันที่อุณหภูมิ 9 องศา
กับคนที่เราไปด้วย อาเราเอง
งามเต็มตา จากกล้องดิจิตอลตั้งโหมดออโต้ธรรมดา เพราะตั้งอย่างอื่นไม่เป็น
อรุณเป็นใจให้พวกเราออกย่ำเดินกันแล้ว เริ่มเดินจากจุดแรกกันเถอะ เมื่อเดินเข้าไปไม่ไกล หรือระยะร้อยเมตรแรก ก็จะเจอกับภาพต้นไม้รกครึ้ม พร้อมกับพืชพันธุ์ที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ แบบต้นนี้ เฟิร์นใบบาง และมอส
ต้นกำเนิดของแม่น้ำปิง ก็คือที่นี่ ที่เห็นคือน้ำตก อาจจะไม่ใหญ่มาก แต่เป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญ ถ้าไม่มีที่นี่ ก็ไม่มีแม่น้ำปิง เราคงต้องกลับไปท่องชื่อแม่น้ำที่มารวมกันเป็นแม่น้ำเจ้าพระยากันใหม่หมด น้ำเย็นเฉียบเลย เพราะตอนก่อนขึ้นมา เราเข้าห้องน้ำที่ทางอุทยานเข้าทำไว้ น้ำในห้องน้ำก็ใช้น้ำจากแหล่งนี้แหละ ทำเป็นระบบประปาภูเขาไหลลงไปให้ประชาชนใช้กัน
เดินต่อจากน้ำตก จะเจอสะพานไม้อันแรก ที่ปกคลุมด้วยต้นไม้ ให้บรรยากาศร่มรื่น ซึ่งในการเดินครั้งนี้ เราต้องเจอสะพานทั้งหมด 3 สะพาน
เดินต่อ สำรวจสองข้างทาง จะเห็นเจ้าต้นนี้โบกใบเล็กๆ ต้อนรับไหวๆ เห็นเม็ดสปอร์ใต้ใบ เตรียมพร้อมจะเติบโตเป็นต้นใหม่ต่อไป
พักเหนื่อยก่อน ขอหอบแรงๆ ซักที มันช่างต่างกับการเดินช็อปปิ้งซะเหลือเกิน หนาวนะ แต่เหงื่อซึมหลัง
ตลอดระยะทางกิโลเมตรแรก ดอกไม้เล็กๆ ออกดอกน่ารัก แวะทักไปตลอดทาง
เฟิร์นใบบางๆ บอบบางแต่พลิ้วไหลไปตามแรงลม คอยห่มให้ความชุ่มเย็นแก่ไม้ใหญ่
สายหมอก ระเรื่อยรอบไม้ใหญ่ ถัดจากจุดนี้ไป อยากให้หลับตา จากป่ารกทึบ แดดส่องลงมาไม่ค่อยจะถึง เดินต่อไปเพียงไม่กี่ก้าว
จะเจอภาพนี้ รู้สึกได้เลยว่า เราใกล้เมฆ ใกล้ฟ้าแค่เพียงเอื้อมมือ ไม่น่าเชื่อใช่มั๊ย ตรงนี้เข้ากิโลเมตรที่สอง ที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะใช้เวลากับบริเวณนี้ค่อนข้างมาก เพราะอะไร ให้ดูจากรูปเอา
จากป่ารกทึบ เพียงไม่นาน เราเหมือนกำลังเดินเข้าไปในก้อนเมฆที่กำลังเคลื่อนช้าๆ ไม่รีบร้อนเพราะไม่ได้มีนัดกับใคร ลอยผ่านตัวเรา กลิ่นเมฆ หรือหมอกกันนะ หอมจังเลย...ได้กลิ่นมั๊ย
ไม่ต้องไปยืนถ่ายรูปเห็นทะเลหมอกไกลๆ แต่นี่หมอกเรื่อยไหลมาให้จับด้วยใจ และเปิดโอกาสให้หายใจเอาใส่ปอดกลับไปเท่าที่จะเอาไปได้
เราเดินเลาะเลียบไปตามชายเขา ตามทางไปเรื่อยๆ หมอกก็ค่อยทะยอยไหล แบ่งที่ให้แสงแดดทอดลงมาบ้าง
ไม่รู้จะอธิบายยังงัย อยากให้ไปเห็นด้วยตา สัมผัสด้วยใจ เก็บภาพด้วยตัวคุณเอง แทนที่จะต้องมาดูภาพของคนอื่น
ด้านหลังป่า ด้านหน้าปุยหมอก เพียงลืมตา หมู่หมอกก็ทะยอยจู่โจมเราแบบไม่ต้องให้ตั้งตัว
ปล่อยคนอื่นสัมผัสบรรยากาศ เราขอสัมผัสธรรมชาติ ที่เห็นคือ เบอรี่ป่า กินได้ ไกด์นำทางลองเด็ดมาให้ชิม รสชาดเปรี้ยวปนฝาดเล็กๆ ที่เห็นเราไม่ได้เด็ดมานะ ใครไม่รู้เด็ดทิ้งไว้ เราเลยสวมรอยเอามาถ่ายรูปโชว์ ถึงจะไม่สวย..แต่จนนะ เอ๊ย...ไม่ใช่ แต่ไม่ทำลายธรรมชาตินะ
หมอกขาว เมฆเคลื่อน แดดอุ่นก็แทรกเข้ามา
ก่อนจะถึงปลายทางของกิโลเมตรที่สอง จากมุมนี้จะมองเห็นพระธาตุนภเมทนีดล และ พระธาตุนภพลภูมิสิริ
ไม่ใช่แต่ในทิวป่าเท่านั้นที่จะมีพันธุ์ไม้ให้ชื่นชม แต่เลาะเรื่อยริมขอบเขา ก็มีส้มแปบหอมอ่อนๆ กระจายกลิ่นตลอดทาง
เดินเลาะขอบเขา หายใจเอาหมอกเมฆเข้าปอดให้เต็มที่ ตรงนี้ระยะประมาณกิโลเมตรที่สองกว่าๆ ก็จะเข้าสู่แนวป่า ที่ให้ทิวทัศน์คล้ายกับกิโลเมตรที่หนึ่งที่ผ่านมา เมฆใหญ่ก็โยนตัวมาโบกมือลา
เก็บภาพมาเยอะมาก แต่ยังคงอยากให้เธอมาเห็นด้วยตาของเธอเอง เอามาลง เอามาเล่า ไม่เท่าไปเห็นเองนะ
จำไม่ได้แล้วว่า ทั้งหมดเราเดินผ่านหมุดมาทั้งหมดที่หมุดแล้ว แต่ให้นึกถึงตอนนี้ เราขอฝากความระลึกถึงหมุดที่ยี่สิบ ที่ผู้สร้าง ให้เราหลับตา นั่งนิ่งๆ จะได้ยินเสียงป่า เสียงน้ำ เสียงนก แต่ไกด์บอกว่าเสียงที่ดังที่สุด คือ เสียงหอบ ทั้งหอบเหนื่อยจากการเดิน หอบความสุขปิติที่ได้รับรู้..รับเห็นสิ่งซึ่งธรรมชาติแท้ๆ สร้างไว้ให้เรามาชื่นชม หอบทั้งหมดกลับมาเป็นพลังชีวิต มอบแด่ทุกคนกันต่อไป
กิ่วแม่ปาน สาบาน(อีกแล้ว) จะกลับมาอีก จะมาดู ว่าเธอจะคงความสวยเหมือนเช่นวันนี้ รอให้เรากลับมาเยือนอีกหรือไม่ สำหรับเรา ครั้งแรกที่ไป สวยประทับใจ นึกไม่ถึงว่าเมืองไทยจะมีแบบนี้ มาครั้งนี้เธอสวยมาดเยือกเย็น ยิ่งประทับลงไปในใจของเราเข้าไปอีก เสียดายที่ครั้งนี้เธอแปลกไป ผืนป่ากุหลาบพันปีแทบจะไม่ออกดอกเลย เพราะอากาศเปลี่ยนแปลง หนาวก็จริงแต่หนาวไม่ติดต่อกัน กุหลาบมันคง..งงๆ ว่าตกลงจะหนาวหรือไม่ สุดท้ายเลยไม่ยอมเผยดอกบาน เห็นแต่ช่อดอกตูมๆ แค่นั้น... ไม่เป็นไร ฝากคำถามไว้กับเธอนะ...กิ่วแม่ปาน แล้วครั้งต่อไปล่ะ เธอจะสวยแบบไหนกัน รอพิสูจน์ด้วยกันในครั้งต่อไป.....
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)