วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
หมูตุ๋นคุณอุ้ย
มาอีกแล้วจ้า วันนี้มีกับข้าว กับแกล้ม ที่จะกินกับเธอ กับชั้น กับมัน หรือกับใคร ก็อร่อย แถมทำง่าย แค่ลองทำดูจะรู้ว่า "โคตรง่ายเลย" กับเมนูวันนี้ "หมูตุ๋นคุณอุ้ย"
มาเตรียมเครื่องปรุงกันดีกว่า อันดับแรก วันนี้จะทำหมูตุ๋น แน่นอนต้องมีหมู ส่วนที่จะใช้ทำเมนูนี้ วันนี้เราขอเลือกใช้ส่วนที่เรียกว่า "ขั้วตับ" อาจจะหาซื้อยากหน่อย ถ้าบ้านใครอยู่ติดกับตลาดสด ให้ไปซื้อที่แผงหมูแต่เช้า เพราะไม่งั้นมันหมด ส่วนในห้างใหญ่ๆ แบบบิ๊กดี โลตุส หรือแบ็กโฮ เราไม่เคยเห็นวางขายนะ ส่วนเหตุผลที่เลือกใช้ขั้วตับมาทำหมูตุ๋นเพราะบังเอิญวันนี้ไปเดินตลาดสด แล้วเห็นยังมีเหลืออยู่ เราเลยสอยมาซะครึ่งกิโล ห้าสิบบาท และอีกอย่างคือ คุณสมบัติของเนื้อส่วนนี้จะเป็นส่วนที่อยู่ใกล้กับตับ ซึ่งเนื้อหมูจะเป็นก้อนพอคำ มีความเหนียวนุ่ม และมีเอ็นบางๆ ติดด้วย เมื่อตุ๋นเปื่อยดีแล้ว หมูตุ๋นที่ได้จะไม่เปื่อยจนเละ และเคี้ยวหนึบหนับเนื่องจากมีเอ็นนั่นเอง
ถ้าใครหาซื้อขั้วตับไม่ได้ ก็ไม่ใช่ปัญหานะ จะใช้ส่วนที่เป็นสันนอกก็ได้ เอามาหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า แล้วลดเวลาในการตุ๋นลงแค่นั้นเอง
นี่งัยขั้วตับ จัดการเอามาล้าง และหั่นชิ้นโตหน่อย เวลากินจะได้เต็มปากเต็มตำ ที่นี้มาดูเครื่องปรุง และเครื่องยาจีนที่จะใช้ตุ๋น ดูตามภาพเลยนะ
1. เครื่องยาจีนสำหรับตุ๋นเนื้อตุ๋นเป็ด แบบแพคมาเป็นห่อ วันนี้เราเลือกใช้ยี่ห้อ ส.ตราเป็ด ห่อละสิบบาท ในห่อมีอบเชยสองแท่ง เราเอาออกไปอันนึง เพราะกลิ่นจะฉุนเกินไป แต่ถ้าปริมาณเนื้อหมูของคุณมากกว่านี้ ก็ไม่ต้องเอาออกก็ได้ เครื่องยาจีนห่อนี้ ใช่ตุ๋นเนื้อได้สองถึงสามโล แล้วก็มีเก๋ากี้ โป๊ยกั้ก แล้วใบอะไรอีกก็จำไม่ได้ เอาเป็นว่าไม่ต้องไปจำก็ได้ เค้าใส่อะไรมาในห่อ ก็แกะออกมา แล้วเทลงผ้าขาวบางตามภาพเลยจ้าาาาาา
2. กระเทียม 1 หัวใหญ่ เอามาตำให้ละเอียด ใส่ลงไปในผ้าขาวบางแบบที่เห็น
3. พริกไทย 2 ช้อนโต๊ะ ตำหยาบๆ ใส่ส่งลงไปในผ้าขาวบางอีกเช่นกัน
***ผูกผ้าขาวบางให้เครื่องปรุงตั้งแต่ 1-3 อยู่ในห่อผ้าให้แน่นๆ แยกเอาเก๋ากี้ออกมา เดี๋ยวมีรูปให้ดู****
4. รากผักชี 2 รากใหญ่ๆ วันนี้หาไม่ได้ เลยใส่แค่รากเดียว
5. น้ำตาลปี๊บ 4 ช้อนโต๊ะ
6. เกลือ 2 ช้อนโต๊ะ
7. ซีอิ๊วขาว 4 ช้อนโต๊ะ
8. ซีอ๊วดำเล็กน้อย
9. เหล้าจีน ไม่มีก็ใส่วิสกี้ไทย จะยี่ห้ออะไรก็ได้ หรือไวน์ก็ได้นะ แต่ถ้าไม่อยากใส่ก็ไม่ต้องใส่เลยก็ได้
10. ซ๊อสหอยนางรม 3 ช้อนโต๊ะ
มาเริ่มทำกันเลยดีกว่าจ้า
1. เอาหม้อขึ้นตั้งเตา ใส่น้ำตาลปี๊บลงไป เปิดไฟอ่อนสุด หมั่นคนตลอดให้น้ำตาลปี๊บละลาย สังเกตดูสีน้ำตาลปี๊บจะเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น เรียกว่าสีน้ำตาลไหม้ แต่อย่ารอจนไหม้นะจ๊ะ
สังเกตสีนะ จากรูปข้างบน สีน้ำตาลปี๊บปกติ ยังไม่โดนความร้อน
นี่งัย พอเคี่ยวด้วยความร้อนจะเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลไหม้ สีขนาดนี้แหละใช้ได้แล้ว ถ้าสีเข้มกว่านี้จะขมเลยน่ะเจ้า ที่ต้องเคี่ยวน้ำตาลปี๊บแบบนี้ ก็เพราะเวลาเราตุ๋นเนื้อสัตว์อะไรก็แล้วแต่ เมื่อเนื้อตุ๋นของเราเปื่อยได้ที่แล้ว สีของเนื้อจะสวย มีความมันใส ไม่กระด้าง สีสันดูน่ากิน แม้จะตอนที่เย็นแล้วก็เถอะ ขาหมูก็ทำแบบนี้ได้นะ ลองดูเลยค่ะ สีของหนังจะมีความมันสดใส
2. เอาหล่ะ พอเคี่ยวน้ำตาลได้แบบนี้แล้วก็รีบเติมน้ำเปล่าลงไป 4 ถ้วยตวงเลยจ้า เติมน้ำเสร็จก็เปิดไฟแรงสุดเลย พอน้ำตาลละลายหมดแล้วจะเห็นน้ำแกงสีสวยแบบนี้
3. พอน้ำเริ่มเดือด ก็จัดการหย่อนเครื่องยาที่ห่อด้วยผ้าขาวบาง เก๋ากี้ และรากผักชีลงไป ปิดฝา
4. เมื่อน้ำเดือดพล่าน ก็ให้จัดการหย่อนหมูทั้งหมดที่หั่นเอาไว้ลงไปเลย
5. จัดการเติมเครื่องปรุงรสทั้งหลายแหล่ที่บอกไปข้างต้นลงไป ยกเว้นเหล้านะ อันนี้เอาไว้ใส่ตอนหมูตุ๋นเปื่อยเกือบได้ที่แล้ว จะช่วยให้กลิ่นของหมูตุ๋นหอมขึ้น ถ้าใส่ลงไปตอนนี้เลย แอลกอฮอล์จะระเหยหายไปหมด ไม่เหลือแม้แต่กลิ่น
6. ต้มต่อจนเครื่องปรุงละลายเข้ากันดีแล้ว ช้อนฟองออกบ้าง แล้วลดไฟลงเป็นไฟอ่อนสุด ปิดฝา ตุ๋นต่อไปประมาณหนึ่งชั่วโมง ถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ถ้าบ้านไหนมีหม้อตุ๋นความดัน หรือหม้อไอ-คุ้ก ของแอมเวย์ ก็อาจจะใช้เวลาน้อยกว่านี้ เหลือเพียงครึ่งชั่วโมง ก็จะได้หมูตุ๋นหน้าตาดี แถมรสชาดดี เหมือนคนทำ พร้อมเสริฟแบบนี้เลยจ้าาาาาาาา
สูตรที่แนะนำวันนี้จะทำแบบน้ำเข้มข้นขลุกขลิก กินตัดด้วยน้ำส้มพริกดอง ขอรับรองเลย อร่อยจริง เพราะเราทำกินเองบ่อยมาก
(น้ำส้มพริกดอง---พริกเหลืองหนึ่งเม็ดแกะเม็ดออก ตำผสมกับกระเทียมแกะเปลือก 3-4 กลีบ ถ้ากลีบใหญ่มากให้ลดปริมาณลง เหยาะเกลือครึ่งช้อนชา และน้ำตาลทรายหนึ่งช้อนชา ตำลงไปพร้อมกัน ตักออกมาใส่ถ้วย ผสมด้วยน้ำส้มสายชูกะปริมาณอย่าให้ใสจนเกินไป)
เวลากิน จะเลือกแบบจัดจานข้าวสวยกดด้วยถ้วย แล้วตักหมูตุ๋นราดขนาบข้าง แต่งหน้าแต่งตาด้วยแตงกวาหั่นชิ้นพอดีคำ ปริมาณนี้จะได้ประมาณหกจาน หรือจะตักใส่ถ้วย โรยหน้าผักชีเล็กน้อย แย่งกันตักคนละหนุบคนละหนับ ก็แล้วแต่จะจัดสรรกันภายในบ้าน
เจริญสุขกับมื้ออาหารแสนง่ายอีกเมนูในวันนี้.......อิ่มแล้ว...อาบน้ำนอนดีกว่าจ้าาาาาาาาาาา
วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
ดอยแม่สลอง...ในมุมมองที่น่าจดจำ
อีกหนึ่งการเดินทางเพื่อเก็บเกี่ยวความทรงจำดีๆ อีกบทหนึ่งของเราวันนี้ เริ่มต้นที่จากเชียงใหม่ ขับรถเรื่อยเลยมาจนถึงเชียงราย ก็เย็นย่ำท่ามกลางอากาศเย็นของช่วงฤดูหนาวของบ้านเรา ก่อนขึ้นดอยแม่สลอง เราแวะนอนพักกันที่ แม่สลองเอาท์ดอร์รีสอร์ท อยู่ตรงทางขึ้นดอยแม่สลอง บ้านพักน่ารักๆ มีเตาผิงด้วยนะเออ ทั้งหลังมีสามห้องใหญ่ๆ นอนได้หลายคนเลย ราคาก็ไม่แพงอีกด้วย แต่ก่อนจะมาถึงที่พักเราแวะกันที่วัดร่องขุ่น วัดแห่งจิตวิญญาณฝีมือของอาจารย์เฉลิมชัย ตัวเองไม่มีเวลาออกมาต้อนรับบรรดาผู้มีจิตศรัทธา แกเลยเอารูปถ่ายเท่าตัวจริงแกมาตั้งให้คนมาแอบอิงถ่ายรูปได้แบบประชิดติดหน้าติดหนวดกันเลยทีเดียว ที่นี่มีร้านกาแฟชื่อร้านครูศรีจันทร์ ที่แบบสั่งเสร็จ จ่ายตังค์ก่อน แล้วไปยืนเก้ๆ กังๆ รอรับของที่สั่ง วันนั้นเราสั่งชาเขียว ขอบอกเลย...โคตรอร่อย กดไลค์ให้ร้อยที แล้วอีกอย่างที่ใครไป ณ ตอนนี้แล้วต้องซื้อกินแน่ๆ คือ หมูยอนึ่งเสียบไม้ ไม้ละสิบบาท วันนั้นยอกันไปยอกันมา ล่อซะคนเดียวสี่ไม้ ไม่อิ่มนะ แค่จุก...และอีกหนึ่งเมนูเด็ดสุดสำหรับเรา และอาจจะสำหรับคนอื่นด้วย คือ หนอนไม้ไผ่ หรือรถด่วนอบใส่กระป๋อง กระป๋องละสามร้อย บางร้านราคาอาจจะถูกกว่านี้หน่อย อันนี้นะเราไลค์ให้เลยพันครั้ง ชอบสุดๆ ชอบมั่กๆ ใครไปที่นี่ แล้วคิดว่า เอ...จะซื้ออะไรมาฝากเราดีน้า.....ไม่ต้องคิดถึงสิ่งอื่นเลย..เอารถด่วน เอารถด่วน....เพราะรถด่วนของที่นี่เค้าอบ ไม่ทอด มันเลยกรอบแบบไม่มีน้ำมัน กินเพลินมาก ยิ่งเอามาแกล้มเบียร์นะ ขอบอกสวดยวดเลยล่ะค้าาาาาา.....ท่านผู้ชม
พาไปดูบรรยากาศบ้านพักของเราคืนนี้กันดีกว่า
แล้วนี่ ซากแก้วกาแฟร้านครูศรีจันทร์ อร่อยประมาณว่า ดูดโฮกรวดเดียวหมด ไม่แบ่งใครเลย
แล้วก็นี่เลย นี่แหละ สุดยอดของโปรดของเรา เห็นรูปแล้วอยากกรี๊ดๆๆๆๆๆ ด้วยความอยากกินอีก น้ำลายไหลแล้วเนี่ย
เรานอนพักกันที่นี่ ตอนกลางคืนนั่งคุยกัน จิบเบียร์เย็นๆ แกล้มกับหมูยอที่ยังซื้อติดมาด้วย เอาออกมาหั่นๆ โรยด้วยรถด่วน อร่อยมว้ากกกก.....นุ่มๆ หนึบๆ ตามท้ายด้วยหนอนกรุบกรอบ...สวรรค์เลยนะนั่นสำหรับเรา
เช้าแล้ว พระอาทิตย์หยอกเย้าเรียกพวกเราให้ตื่น เพื่อเตรียมตัวมุ่งหน้าขึ้นดอยแม่สลอง หรือดอยสันติคีรี กับประวัติอันยาวนานของดอยนี้ ก่อนที่จะเปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ลองหาอ่านได้จากเวปท่องเที่ยวได้ ข้อมูลเยอะ เราไม่ขอเล่าดีกว่า เพราะมันจะไปซ้ำกับแหล่งข้อมูลพวกนั้น แต่จะบอกว่า ถนนหนทางขึ้นดอยนับว่าทางดีมาก ลาดยางไปตลอดเส้น ขับรถสบายๆ จากที่พักของเราใช้เวลาขับรถไปอีกประมาณชั่วโมงครึ่ง ก็ถึงแล้ว ดอยแม่สลอง ดินแดนนายพลต้วน
เมื่อเอ่ยถึงดอบแม่สลอง ส่วนใหญ่จะถูกโปรโมทในเรื่องชา และเรื่องอาหารซึ่งเป็นอาหารสูตรของชาวจีนที่มาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ก็ได้แก่ ขาหมูหมั่นโถว ไข่ยัดไส้ หรือหมูน้ำค้าง ไอ้อย่างหลังเนี่ย นับว่าแปลกสำหรับเรามาก เพราะเกิดมาก็เพิ่งจะได้ยินชื่ออาหารชนิดนี้เป็นครั้งแรก เท่าที่สอบถามข้อมูลมา มันคือการถนอมอาหารวิธีนึง คล้ายกับการทำหมูแดดเดียว แต่นี่เค้าเอาเนื้อหมูทั้งก้อน หรือสามชั้นทั้งเส้นใหญ่ๆ ไปคลุกกับเกลือ แล้วเอามาห้อยผึ่งแดดผึ่งลมเย็นๆ ผึ่งน้ำค้างตอนเช้า จนหมูทั้งก้อนแห้งแข็ง ซึ่งวิธีนี้จะสามารถเก็บถนอมหมูก้อนนั้นเอาไว้กินได้เป็นเดือนๆ โดยไม่เน่าเสีย ฉลาดจริงๆ ชาวเราขอคารวะ
เราแวะที่จุดชิมชา จุดที่นักท่องเที่ยว หรือบรรดาพวกชาเลิฟเว่อร์ทั้งหลายชอบแวะ คือ ดอยแม่สลองนอก ไร่ชา 101 ซึ่งที่นี่ก็มีโรงผลิตชาของตัวเอง และมีชาหลากหลายพันธุ์ให้เราลองลิ้มชิมรส สัมผัสกลิ่นหอมอ่อนๆ พร้อมคำบรรยายจากพริตตี้ชาชาวจีนฮ่อ วันนั้นพริตตี้ที่มาบรรยายพร้อมสาธิตวิธีการชงชาให้พวกเราชื่อ อาฟัง แน่นอน พวกเราต้องฟัง เพราะถ้าไม่ฟัง เมิงก็ไปไกลๆ เลย อันนี้เราต่อเอง น้องเค้าสมาธิดีมาก ขนาดเราชวนคุยออกนอกเรื่อง หรือคอยยิงถามคำถามแบบเห้ๆ ไปเป็นระยะ ก็ไม่สามารถทำลายสมาธิการบรรยายอันแน่วแน่ของอาฟังได้เลย น้องเค้าก็จะวกเข้าเรื่องชาของเค้าทุกครั้งไป เอ็งแน่มาก... อาฟัง ในเมื่อการยิงคำถามเห้ๆ ไม่ได้ผล มันต้องป่วนด้วยวิธีนี้ เข้าไปช่วยอาฟังสาธิตมันซะเลย เอ้า...บรรดาขาชิมฟรีทั้งหลาย...เร่เข้ามาทางนี้เลยจ้า เก้าอี้ด้านหน้ายังว่าง ด้านหลังอย่าไปนั่ง เพราะจะอดชิมของฟรี แถมดีด้วยนะ ตรงนี้ไม่มีพริตตี้ มีแต่อั๊กลี่สาธิตการชงให้ดูกันแบบจะๆ ให้ชิมกันแบบถึงเนื้อถึงตัว มั่วกันเลยทีเดียวเชียว......เอาฮากันพอครื้นๆ ชิมแล้วก็ขอร้องซื้อติดมือกลับไปด้วย ถ่อมาตั้งไกล ถ้าซื้อกลับไปแล้วไม่ชงกินก็เอาไว้ตั้งโชว์อวดลูกหลานวงศ์ตระกูลสืบไปก็ได้นะเว้ยเฮ้ย....
เมื่อป่วนการสาธิตชงชา พร้อมเนียนชิมชาฟรีของเค้าแล้ว เอาล่ะได้เวลาชิ่งสิฮะท่านผู้ชม จะอยู่ทำไมให้เค้าจับได้ ออกมาเดินสำรวจรอบๆ ไร่ชาเค้าหน่อย แต่บอกนะ ขนาดเราไม่ค่อยโปรดชาซักเท่าไหร่ แต่ตอนที่ได้ชิมชาของที่นี่ เราชอบชาน้ำผึ้ง หรือชานางฟ้าของเค้านะ กลิ่นชาหอมอ่อนๆ พร้อมกับมีกลิ่นน้ำผึ้ง พร้อมรสหวานเล็กๆ ติดปลายลิ้นตอนกลืน เท่าที่ฟังอาฟังเล่า อาฟังบอกว่า ชาพันธุ์นี้จะพิเศษกว่าชาพันธุ์อื่นตรงที่ การปลูกจะไม่ลดน้ำ ไม่ใส่ปุ๋ยใดๆ ทั้งสิ้น คืออาศัยน้ำค้างตอนเช้าเท่านั้น และจะเก็บใบชาเพียงปีละครั้ง เพราะชาพันธุ์นี้ จะไม่ค่อยออกใบมากนัก ก็คงจริงนะ อดซะขนาดนั้น จะเอาแรงที่ไหนออกใบวะ...แต่ด้วยการปลูกในลักษณะนี้ จะทำให้ชาที่ได้มีกลิ่น และรสชาดที่เฉพาะตัวมาก แล้วแถมมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาพันธุ์อื่นอีกด้วย....
หอมกลิ่นชา อวลแดดอ่อนตอนเช้า
ไร่ชาสีเขียว และจุดที่ท้องฟ้ากับใบชามาบรรจบกันตรงหน้า
และนี่คือ เมนูแปลกสำหรับเรา ที่เล่าให้ฟังไปมะกี๊ หมูหน้ำค้าง เห็นมะ หมูทั้งก้อน สามชั้นทั้งเส้นเอามาหมักเกลือ ตากน้ำค้าง ตากแดด ตากลมจนแห้ง เราถามไป เห็นคุณน้องพริตตี้หมูน้ำค้างเล่าว่า เอาไปหั่นบางๆ แล้วทอด หรือเอาไปผัดผัก หรือเอาไปทำข้าวผัดก็อร่อย เราได้มีโอกาสชิมแบบหั่นบางๆ แล้วทอด พบว่า เค็มอิ๊บอ๋ายเลย....
หลังจากชิมชา ชมวิว และถ่ายรูปกันจนหนำแล้ว ชาวเราก็มุ่งหน้าขึ้นไปจุดท่องเที่ยวถัดไปคือ ดอยแม่สลอง อยากเจอนายพลต้วนแล้วหล่ะ และที่สำคัญ ชิมชาแล้ว อีกอย่างที่ทุกคนที่มาที่นี่ห้ามพลาดเด็ดขาด เมนูป้ายหน้า ขาหมูหมั่นโถว..โหว..โหว...โหว...รออยู่ ไปกันเถอะ
เราจอดรถที่หน้าพิพิธภัณฑ์นายพลต้วน ฝั่งตรงข้ามเป็นร้านขายอาหารจีน เราลงรถได้ แวะสวัสดีนายพลคนกล้า แล้วรีบตรงดิ่งเข้าร้านฝั่งตรงข้ามทันที และแน่นอน ขาหมูหมั่นโถวมาเร็วๆ เลย ตามด้วยไข่ยัดไส้ หมูน้ำค้าง แล้วอะไรอีกหลายอย่างจำไม่ได้ ที่จำได้คือ กินไม่หมด ต้องห่อกลับอีกตามเคย แต่ขาหมูหมดนะ เกลี้ยงภายในพริบตา ไม่น่าเชื่อ ขาหมูสูตรที่นี่ เค้าจะตุ๋นคล้ายกับสูตรทั่วๆ ไปที่เราเคยกิน แต่จะฉุนเครื่องยาจีนน้อยกว่า แต่รสชาดนุ่มนวลกว่า และมีมันน้อยกว่า อันนี้เราว่าไม่ดี เพราะเราชอบมันของขาหมูน่ะสิ
อันนี้ไข่ยัดไส้ ไม่เหมือนแบบภาคกลาง ของที่นี่เค้าจะกรอบนอก แล้วนุ่มข้างใน คือข้างในเป็นหมูสับละเอียดปรุงรสเค็มเล็กน้อย เอาไปทาบนแผ่นไข่กรอบบางๆ แล้วม้วนๆ หั่นชิ้นพอคำ กินจิ้มซ๊อสพริกอร่อยมาก
หลังจากอิ่มทองกันแบบถ้วนทั่ว เรียกเก็บเงินกันเรียบร้อย ก็ออกเดินช็อปปิ้งแถวๆ นั้น ตลอดสองข้างทางจะเห็นภาพชาวเขาเอาสินค้าพืชผักที่ปลูกกันแถวๆ นั้น เอามาแบ่งเป็นกำๆ ขาย และก็จะเห็นผลไม้แช่อิ่มอบแห้งเต็มเลย เช่น บ๊วยเค็ม บ๊วยหวาน ลูกไหนแช่อิ่ม และอีกสารพัดสารพันชนิด ไม่สามารถสาธยายได้ครบ เรียกว่าไปเนียนชิมเพลินเลยแหละ เราซื้ออันนี้มา "บ๊วยกาแฟ" ลูกรีๆ สีชมพูอมแดงนะ ไม่รู้ทำมาจากลูกอะไร แต่แน่นอนไม่ใช่บ๊วย รสชาดใกล้เคียงบ๊วยมาก คือพอเอามาดองแล้วผ่านกระบวนการถนอมอาหาร ไอ้เจ้าลูกนี้ก็ยังเปรี้ยว และมีติดรสฝาดนิดๆ กินเพลินดี และไม่มีเม็ดเหมือนบ๊วยด้วยนะ วันนั้นมันรีบ เลยลืมถามเป็นข้อมูลว่าจริงๆ แล้วมันคือลูกอะไร แต่เอาเหอะ แค่อร่อยก็พอแล้ว
ดูเลย นี่ไงบ๊วยกาแฟ เห็นป่ะ ไม่เหมือนบ๊วยเลยซักกะนิด แค่รสชาดเหมือนเท่านั้น แต่รูปร่างน่าตาไม่มีส่วนใหนเหมือนเลย
เราเดินมาจนถึงหลักกิโลเมตรยักษ์ ตั้งเด่นเป็นสง่า ใครมาก็คงต้องถ่ายรูปกลับไป หลังหลักกิโลอันนี้ มีตลาดนัดขายสินค้างานหัตถกรรมของชาวเขา พวกชุดชาวเขา กระเป๋าเย็บมือปักประดับด้วยเม็ดข้าวฝ่าง กระเป๋าสะพายใบเล็กใบใหญ่ ขายเยอะมาก ใครใจอ่อนทนความตื้อของชาวเขาที่ตั้งใจขายของ มากๆ ไม่ไหว รับรองได้มีหอบหิ้วกลับมาทั้งๆ ที่ไม่อยากได้เลยก็ได้
เป็นอันว่า เราก็เป็นอีกคนที่ใจอ่อน ต้องยอมควักตังค์ซื้อกระเป๋าสะพายใบเล็กกลับมาอีกสองใบจนได้สิน่า สำหรับทริปน่ารักๆ ทริปนี้ ก็ถือว่าเราได้มาทำตามสิ่งที่ใครๆ พยายามโปรโมทดอยแม่สลองว่าเป็นแหล่งของเรื่องชา เรื่องอาหาร เรื่องของซื้อของฝาก และเรื่องการสู้รบอันยาวนานของกลุ่มคนกลุ่มแรกที่มาตั้งถิ่นฐานที่นี่ เราก็เป็นอีกคนนึงที่ได้มีโอกาสมาสัมผัสวิถีชีวิตของทั้งชาวจีน และชาวเขา ที่พยายามเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิต เพื่อให้สอดคล้องตามกระแสการโปรโมทการท่องเที่ยว เราขอส่งเสียงบอกเล่าเรื่องราวความน่ารักของผู้คนบนดอยสูงนี้ อาจจะเป็นเพียงเสียงเล็กๆ อีกเสียงนึง ที่ยืนยันเลยว่า แดนดินถิ่นนี้มีเสน่ห์ในแง่มุมอื่นอีกมากมายกว่าที่การมาเยือนเพียงผิวเผินจะสัมผัสได้ครบถ้วน....รอแค่ให้คุณไปสัมผัสในแง่มุมงดงามที่เหลือด้วยตัวของคุณเอง......
วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555
ลองแวะไปนะ ถ้าขับรถผ่าน "ไร่บุญรอด" เชียงราย
ณ เช้าวันอากาศดี แดดใสๆ ไม่เร่งรีบ จากตัวเมืองเชียงรายมาไม่ไกล และเส้นทางนี้เป็นทางผ่านไปวัดร่องขุ่นอันเลื่องชื่อ เราแวะที่นี่ " ไร่บุญรอด" อีกแหล่งให้ความรู้สำหรับคนชอบเที่ยวชมไร่หรือสวน ที่มีการจัดตกแต่งไร่ชา ไร่สตอเบอรี่ และไร่พุทรา เอาไว้รองรับนักท่องเที่ยวให้ไปเที่ยวชมได้อย่างลงตัว สำหรับไร่บุญรอดนี้ มีบริการให้นักท่องเที่ยวชมไร่ หรือสวนด้วยรถบริการ ที่มีเจ้าหน้าที่คอยให้ความรู้แนะนำจุดจอดชมไร่ เพิ่งจะเปิดให้บริการในลักษณะนี้มาได้ไม่ถึงปี ซึ่งคาดว่าในอนาคต คงจะได้เห็นอะไรที่เพิ่มมากกว่านี้แน่นอน นั่งรถชมไร่แต่ละเที่ยวจะใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง ค่าบริการคนละ 50 บาท จะได้คูปองแบบที่เห็นในรูป คูปองยังเอาไปเป็นส่วนลดสำหรับแลกซื้อกาแฟได้ด้วย ราคาต่อแก้วก็ไม่แพงมาก ยิ่งได้ส่วนลดก็ยิ่งดึงดูดใจคนชอบกาแฟแบบเราเข้าไปอีก และขนมที่ได้รับคำบอกเล่ามาจากหลานสาวคือ เจ้า.... จำชื่อไม่ได้แล้ว ก็ที่เห็นวางใกล้ๆ แก้วกาแฟที่บรรจงเทฟองนมเป็นกระต่ายน่ารักนั่นแหละ มีรสข้าวโพด เลม่อน อร่อยดี นุ่มนิ่มลิ้น ไม่หวานจนเกินไป กินคู่กับกาแฟร้อน หรือชาร้อนที่ทางไร่เค้าเอามาเสริฟให้ชิมฟรี ชาให้ชิมฟรี แต่ขนมนั่นไม่ฟรีนะจ๊ะ....
เมื่อจ่ายสตางค์ค่าเข้าชมแล้ว นั่งรอเวลารถออกไม่นานนัก รถจะค่อยขับผ่านทุ่งข้าวบาเล่ย์ที่เป็นวัตถุดิบสำคัญเอาไว้ทำเบียร์ วันนั้นทุ่งข้าวเป็นสีเขียวขจีเหมือนพรมผื้นใหญ่ สอบถามน้องที่ส่งเสียงบรรยายเจื้อยแจ้ว เป็นสำเนียงคำเมือง ได้ความว่าข้าวบาร์เลย์จะติดรวงเป็นสีเหลืองทองช่วงประมาณเดือนมีนาคม ถ้าวันนั้นมีโอกาสมาเที่ยวที่นี่อีก ก็จะได้เห็น ส่วนที่เห็นปลูกเป็นทิว ริมสองข้างทางที่รถขับผ่านนั่นคือต้นเหลืองเชียงราย แต่ตอนนี้ไม่เหลือง เพราะเป็นฤดูหนาว ก็อีกแหละ น้องบรรยายก็บอกอีกว่าจะเหลืองก็ช่วงหน้าร้อน ก็คือมีนาหรือเมษา สังเกตถนนทางเข้าไร่นะ ยังเป็นดินอยู่เลย ก็เค้าเพิ่งจะเปิดให้เราเข้ามากันไม่ถึงปีนี่เอง
ไร่ชา ซึ่งผลผลิตที่ได้ ส่วนใหญ่ส่งออกขายต่างประเทศหมด จากรูปจะเห็นว่าคนงานกำลังง่วนเก็บยอดชากันใหญ่เลย อันนี้ไม่ได้สร้างภาพโชว์สาธิตเก็บใบชานะ แต่ตอนที่ไป เค้าได้เวลาเก็บกันพอดี ตอนนั้นน่าจะสิบโมงได้แล้ว
ตัวอย่างยอดใบชาที่เค้าเก็บกัน สามใบจากยอด พอได้แบบนี้แล้วก็เอาไปเข้าสู่กระบวนการอบแห้งต่อไป
จุดแรกที่รถจอดให้เราลงไปเดินชม คือ ไร่พุทรา พันธุ์อะไรก็จำไม่ได้แล้ว จำได้แต่รสชาดหวานกรอบดีจัง ลูกก็โตใช้ได้เลย
จุดต่อมา คือไร่สตอเบอรี่พันธุ์พระราชทาน ซึ่งสตอเบอรี่พันธุ์นี้จะให้รสชาดที่หวานหอมกว่าที่เราคนกรุงชอบซื้อกิน ที่ลูกโตๆ แต่รสชาดเปรี้ยวอย่างเดียว ไม่มีความหอมใดๆ ทั้งสิ้น ตรงจุดนี้เองจะมีบริเวณที่เค้าเอาต้นสตอเบอรี่มาปลูกโชว์ให้สูงจากพื้นไว้ให้ชาวเราได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกลับไป ถ้าขืนให้เดินลงไปถ่ายรูปในไร่เลย สงสัยคงไปเดินเหยียบของเค้าตายหมดแน่
ดอกของต้นสตอเบอรี่ เราว่าคล้ายดอกของต้นตะขบนะ ตูมๆ เล็กๆ ที่เห็นคือ ลูกสตอเบอรี่อ่อน
ส่วนตรงนี้สีแดงสดเลย พร้อมเด็ดเข้าปาก น่ากินมากมาย
ส่วนต้นนี้ยังอยู่ในถุงเพาะชำ ขนาดอยู่ในถุง ยังออกดอกแล้ว รออีกไม่นานก็จะติดเป็นลูกสีสดกันต่อไป
จุดต่อมาที่รถของไร่พาเรามาชมก็คือ ส่วนจัดแสดงการปลูกพืชสวนครัว หรือการเน้นให้เราซึมซับการเพาะปลูกพืชสวนครัวไว้กินเอง แบบที่เค้าปลูกไว้นี่ก็คือสารพัดแตง และน้ำเต้า ที่ทำเป็นซุ้มขนาดใหญ่ให้เรามุดเข้าไปถ่ายรูปได้
หรือแบบนี้ แค่เด็ดก็ได้แล้วสลัดจานโต
และนี่ ผัดผักบุ้งไฟแดง คะน้าน้ำมันหอย
และแค่ยอดน้ำเต้าธรรมดา แต่มีคนมารุมถ่ายรูป ให้มานึกว่า ไอ้ภาพพวกนี้มันน่าจะเป็นภาพที่เราเห็นจนชิน แต่ ณ ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ภาพนี้หายจากบ้านหลายๆ บ้านนานแล้ว
กับที่นี่ ไม่ต้องไปรอให้รุ้งเกิดหลังฝนตกอีกต่อไป แค่เปิดฝอยน้ำให้กระทบเปลวแดด รุ้งตัวเล็กๆ ก็พลันโผล่ขึ้นมาให้เห็นต่อหน้า
ที่นี่ นอกจากจะมีไร่สวยให้ชมแล้ว ยังมีห้องอาหารที่เอาวัตถุดิบจากในไร่มาปรุงเป็นเมนูพร้อม เสริฟคุณๆ รอแค่ให้คุณแวะเข้าไปเท่านั้น....
และแล้วก็ถึงเวลาลาจากไร่แห่งนี้แล้ว เพราะรถขับเรื่อยเอื่อยมาถึงทางออก ก็ที่เดียวกับที่เราขึ้นรถนั่นแหละ เห็นไร่นี้แล้ว บางคนอาจได้ความประทับใจในความสดชื่นของไร่ชา ไร่สตอเบอรี่ บางคนอาจได้ถ่ายรูป และได้เพิ่มสถานทีท่องเที่ยวในลิสต์ขึ้นมาอีกหนึ่งที่ แต่สำหรับเรา เราได้ไอเดียที่ผุดเข้ามาในสมองว่า ถ้าเรามีโอกาส เราอยากทำไร่ในลักษณะนี้ ให้เป็นที่ที่อ้าแขนรับทุกคนให้เข้ามาชมด้วยความเต็มใจ ให้เป็นที่ที่เติมไฟ เติมพลังให้ทุกคนที่แวะผ่านมา.....ว่าแต่ใครจะสนับสนุนความฝันอันนี้ของเรามั่ง...ขอแค่ที่ดินซักร้อยไร่พอ
วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555
สุกี้....ง่ายกว่านี้มีอีกมั๊ย
ก่อนอื่นขออกตัวดังเอี๊ยดเลยว่า ที่วันนี้คิดจะทำสุกี้เนี่ย อันดับแรกก็คงจะเพราะอยากกิน อันดับสองคือ ดันมีเครื่องปรุงต่างๆ ที่เอาไว้ทำสุกี้ซะครบถ้วนเลย นอนแอ้งแม้งอยู่ในตู้เย็นมาหลายเพลาแล้ว และสามคือ วันนี้ไปถอยหม้อญี่ปุ่นมาชุดนึง อันนี้น่าจะเป็นต้นเหตุที่สำคัญที่สุด ก็แหมนั่งดูรายการทำอาหารของญี่ปุ่นเค้า เค้าทำกับข้าวหลายอย่างด้วยหม้อแบบนี้แหละ เราบังเอิญไปเจอวางขายอยู่ที่ร้านไดโสะ ที่แฟชั่น ที่เค้าขายทุกอย่างหกสิบ แต่ชุดนี้ไม่หกสิบนะ มันร้อยยี่สิบตะหาก แล้วมีแถมถ้วยแบ่งมาให้อีกใบ เลยสอยมาเลย....จ่ายตังค์ปุ๊บ รีบวิ่งแน่บกลับบ้าน..ด้วยอาการลั้นลา..ลั้นลันลา...วันนี้ชั้นจะทำสุกี้ วันนี้ชั้นจะกินสุกี้...
กลับมาถึงบ้าน ไม่รอช้า ได้หม้อมาแล้ว ล้างซะหน่อย ยกขึ้นตั้งไฟเลย เห็นมะมันดีก็ตรงนี้แหละ ตั้งบนเตาไฟได้เลย แล้วเอ่อ...แต่ว่า...ถ้าไม่มีไอ้หม้อแบบนี้ล่ะ...แล้วผม หนู ชั้น หรือกูจะเอาอะไรมาทำ...เฮ้อ..ขอตอบเลยนะคะก็หม้ออะไรก็ได้ที่บ้านนั่นแหละ ใช้ได้เหมือนกันแหละ...
เอาหม้อตั้งไฟแล้ว เติมน้ำเปล่าลงไปประมาณหนึ่งแก้วครึ่ง เติมซีอิ๊วขาวลงไปหน่อย ปิดฝาแล้วเปิดไฟอ่อนสุด
ทีนี้ก็ไปเอาผัก และเนื้อสัตว์ ที่ค้นพบได้ในตู้เย็น เอามาล้างอีกรอบ และหั่น ยาวสั้นแล้วแต่ชอบ ของเราวันนี้มีผักบุ้งประมาณ 6 ต้น คึ่นช่าย 3 ต้น ต้นหอม 5 ต้น แล้วก็กวางตุ้งจิ๋วๆ อีกประมาณ 8 ต้น ที่จิ๋วเพราะใบใหญ่ข้างนอกมันเหลืองหมด เด็ดทิ้งเลยเหลือแต่ต้นจิ๋วข้างใน แล้วก็วุ้นเส้นที่เหลือจากผัดวุ้นเส้นเหม็นวันก่อน อีกขยุ้มนึง แล้วก็ไข่ดิบ 1 ฟอง อ้อ..มีไก่ด้วย ไม่รู้อยู่มานานแค่ไหนแล้ว วันนี้เพิ่งจะค้นเจอ แต่ถ้าในตู้เย็นไม่มีอะไรเลย แนะนำว่าให้เดินไป โลตุสเอ็กเพรส มีทุกอย่างที่บอกไปครบเลย หรือตลาดสดใกล้บ้านก็ได้ ถ้าบ้านอยู่ใกล้ตลาด ผักสามกำสิบบาทยังพอหาซื้อได้นะจ๊ะ...
ทุกอย่างพร้อม น้ำเริ่มเดือดหน่อยๆ แล้ว ก็ค่อยๆ บรรจงเรียงผัก และเนื้อสัตว์ลงไป แล้วก็หยอดไข่ดิบลงไป พยายามเรียงโดยนึกถึงแบบที่เห็นในโฆษณาเอ็มเคนะ เราเรียงของเราได้แบบนี้
ปิดฝาซะ ตั้งไฟอ่อนเหมือนเดิม แป๊บเดียวเองน้ำเดือดปุดๆ ผัก และไก่สุกแล้ว ใครชอบแบบไข่ดิบก็ยกลงตอนนี้เลยก็ได้ หรือถ้าชอบไข่สุก ก็ตีไข่ให้แตกกระจายลงในน้ำเลย แล้วรออีกแป๊บนึง แล้วค่อยยกลง หม้อญี่ปุ่นเค้าเก็บความร้อน ยกลงมาจากเตาแล้วน้ำยังเดือดปุดๆ อยู่เลย
เติมน้ำจิ้มสุกี้ลงไป อ้อ...ลืมอีกแล้ว ลืมบอกไปว่าต้องมีน้ำจิ้มสุกี้ด้วย ของเราวันนี้เลือกใช้แบบสำเร็จรูป ซื้อมาจากโลตุสอีกเช่นเคย ขวดละสี่สิบห้าบาท น่าจะกินได้ซักสามหรือสี่ครั้งนะ เทลงไปประมาณสองช้อนโต๊ะ เพื่อเพิ่มความเข้มข้นให้สุกี้ของเรา หรือใครชอบเข้มข้นสุดๆ ก็ใส่ลงไปอีกตามสะดวก แล้วก็เทใส่ถ้วยเอามาจิ้มเป็นน้ำจิ้มด้วย หั่นพริกขี้หนูสด กับกระเทียมสดเติมลงไป เอาให้เหมือนเอ็มเคเค้า...
เท่านี้ก็ได้สุกี้พร้อมเสริฟแบบร้อนๆ ควันฉุย ใครนึกอยากกินขึ้นมาตอนนี้ รีบวิ่งไปโลตุสได้เลยจ้า....ส่วนเราขอเอาข้าวสวยใส่ลงไปหน่อย เพราะกินผักกับเนื้อหมดแล้วเหลือน้ำข้นๆ แต่ยังไม่อิ่ม ว่าจะเอาข้าวสวยเติมลงไปซักทัพพีเล็กๆ ราดด้วยน้ำจิ้มที่เหลือก้นถ้วย แค่นี้ไม่เรียกโคตรอิ่ม..ก็ไม่รู้จะว่างัยแล้ว............สุขีกับเมนูล้างตู้เย็นของวันนี้จ้าาาาา
วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555
พระอาทิตย์ตก ณ ดอยผาตั้ง เชียงราย
เอารูปนี้มาลงให้ดูก่อนเลย ถ้าใครเคยขึ้นไปผาตั้ง จะคุ้นกับภาพนี้ ที่เห็นยอดแหลมๆ ตรงนั้น คืออีกมุมนึงของภูชี้ฟ้า มาที่นี่ผาตั้ง เหมือนได้มาสัมผัสสองที่ที่เป็นไฮไลท์ของจังหวัดเชียงราย ตรงจุดที่เรายืนนี้คือเนิน 102 ติดตามอ่านกันต่อนะจ๊ะ
มาเริ่มที่การเดินทางกันก่อนดีกว่า เราเริ่มเดินทางจากตัวเมืองเชียงราย ใช้เส้นทางเชียงราย-เวียงชัย แล้วไปถึงอำเภอพญาเม็งราย มุ่งหน้าบ้านต้า ถ้าไม่ชอบจำชื่อ อยากจำแต่ตัวเลข ก็ใช้ทางหลวงหมายเลข 1233 ต่อด้วย 1174 และ 1152 ต่อด้วย ทางหลวง 1020 ระยะทาง 45 กิโลเมตร จะถึงบ้านท่าเจริญ แล้วต่อด้วยเวียงแก่น จนถึงปางหัด ด้วยทางหลวงหมายเลข 1155 อีก 17 กิโลเมตร และจากปางหัดถึงดอยผาตั้ง อีก 15 กิโลเมตร ที่จำได้เพราะใช้ GPS ในมือถือเป็นตัวนำทาง แต่ความจริงเส้นทางไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด มีป้ายบอกทางไปตลอด รับรองไม่หลง หรือจะเกาะป้ายภูชี้ฟ้าก็ได้ แล้วสุดท้ายจะมีทางแยกบอกทางเราขึ้นผาตั้ง เส้นทางขับรถค่อนข้างง่าย อาจจะมีบางช่วงเป็นหลุมบ่อบ้าง เนื่องจากดินสไลด์ แต่ก็มีการซ่อมแซมกันตลอดเวลา
เก็บภาพนี้ได้ระหว่างเดินทาง เรากำลังเดินทางจากพื้นดินขึ้นบนที่สูง สูงจนบางครั้งเรายังสงสัยว่าคนสมัยก่อนเค้าเดินทางกันยังงัยนะ
เหมือนรูปตอนสมัยเด็กๆ ที่หลายคนชอบวาด มีภูเขาสองลูก มีพระอาทิตย์ขึ้นตรงกลาง มีทิวเขาสลับไปสุดสายตา
ดอกพญาเสื่อโคร่ง หรือซากุระ ออกดอกบานตลอดทางที่เราเหยียบขึ้นดอยผาตั้ง บางที่ที่เคยไป มีขึ้นอยู่แค่ต้นหรือสองต้น แต่ที่นี่ ขึ้นต้นสูงตระหง่านทั่วทุกที่ของดอยผาตั้ง กระทั่งหน้าห้องน้ำ
เราแวะพูดคุยกับอดีตทหารที่มาตั้งรกรากเปิดร้านอาหารชื่อร้านบ้านดิน พี่เค้าเล่าให้ฟังว่า แต่เดิมคนที่อยู่ที่นี่เป็นชาวเขา ส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรม เท่าที่เห็นด้วยตาตัวเอง จะเห็นข้าวโพด และกะหล่ำปลี และกลุ่มทหารที่มาตั้งฐานปกปักดินแดน ซึ่งก็คงคล้ายกับผู้พันต่วน ที่ดอยแม่สลองนั่นเอง พอนานไปก็เลยตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ และพอการท่องเที่ยวพัฒนามากขึ้น จึงมีการสร้างเป็นห้องพักน่ารักๆ และทำอาหารพื้นเมือง เช่น ขาหมูหมั่วโถว ไข้ยัดไส้ยูนนาน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวสร้างรายได้ แต่ถ้าใครต้องการมานอนกางเตนท์ที่นี่ก็มีสถานที่รองรับ แถมสะดวกสบาย ที่นี่สามารถมาเที่ยวได้ทุกฤดู วันที่เราไปมีนักท่องเที่ยวบางตา อาจจะเพราะเป็นวันหลังจากปีใหม่ไปแล้ว เราเลยขอเก็บภาพแมวของอดีตทหารท่านนี้มาให้ดูกัน กำลังนอนอาบแดดคลุกฝุ่นสบายเลย
เอาล่ะ เราเริ่มออกเดินไปตามเส้นทางแห่งดอยผาตั้งกัน จากจุดที่เราอยู่ เดินประมาณสองร้อยเมตรจะเห็นประตูที่ออกแบบไว้อย่างสวยงาม เป็นป้ายขนาดใหญ่ บอกว่าท่านมาถึงดอยผาตั้งแล้ว ใกล้กันนั้นเองจะเป็นผาบ่อง ซึ่งเป็นประตูสู่ประเทศลาว เป็นเส้นทางเดินผ่านถ้ำ วันนั้นเราไม่ได้เดินเข้าไปเนื่องจากเวลาล่วงเลยไปประมาณห้าโมงเย็นแล้ว ผาบ่องเลยเริ่มมืด
ทางเดินลงผาบ่อง เริ่มมืด เราเลยไม่กล้าลงไป แต่เห็นดอกซากุระออกดอกไสวอยู่ตรงปากทางเข้า
จากผาบ่อง เดินประมาณ 50 เมตรจะเจอหินก้อนใหญ่รูปร่างหน้าตาคล้ายสฟิงค์ ที่อียิปต์ ในมุมมองของเราเองนะ หรือใครจะมองเป็นอย่างอื่นก็สุดแต่จินตนาการ
เดินต่อมาอีกเพียง 50 เมตรจะเจอเก๋งจีน สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้นายพลหลี
จากเก๋งจีนอนุสรณ์นายพลผู้กล้า เดินมาอีกประมาณ 50 เมตรจะเห็นป่าหินยูนนาน แต่เรามาถึงที่นี่เย็นมากแล้ว กลัวจะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกดิน เลยรีบเดินจ้ำๆ ไปที่เนิน 102
ก่อนจะถึงเนิน 102 ต้องผ่านช่องเขาขาด ตรงจุดนี้ถ้าเรามองออกไปจะเห็นแม่น้ำโขงอยู่ลิบๆ วันนี้มีแถมพระจันทร์ดวงน้อยที่เพิ่งจะขึ้นมาให้เห็น
มองลอดจากช่องเขาขาด จะเห็นแม่น้ำโขงอยู่ไกลๆ
เดินไต่บันไดดิน แข่งกันม้าแคระ ขึ้นไปอีกประมาณสองร้อยเมตร จะถึงเนิน 102 และบนนี้เอง จะเป็นจุดที่สามารถวิวได้รอบชนิด 360 องศา สวยแบบไม่มีอะไรมาบัง
มีระฆังเอาไว้ให้เคาะบอกเทวดา ว่าเรามาถึงแล้วนะเว้ยเฮ้ยท่าน.....เราไม่กล้าเคาะ กลัวมันดัง
แม่น้ำโขงจากเนิน 102
มุมนี้ภูชี้ฟ้า ก็คือยอดเขาที่เห็นแหลมๆ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า ทาทับเงาร่างลางๆ ของคนขับรถของเราทริปนี้ หลานสาวช้านนนนน......
ใกล้ลาลับ แต่จะกลับมาพรุ่งนี้เช้า จากมุมทางเดินไปเนิน 103 จากจุดนี้ต้องเดินอีกประมาณ 800 เมตร ซึ่งถ้านับล้วเดินไปกลับน่าจะเกือบสองกิโลได้ ไม่น่าจะไปทันเห็นพระอาทิตย์ตกที่เนินนั้นแน่นอน
เลยตัดสินใจลงมาหาอะไรกินกันที่หน้าทางเข้าผาบ่อง มีของกิน ของที่ระลึกขายเยอะ รับรองไม่ต้องกลัวอด เราลองซื้อข้าวปุกงา ราดนมข้นอันละสิบบาทมาลองกิน ท่ามกลางอากาศเย็นๆ แบบนี้ กินของพื้นบ้านอุ่นๆ สุดยอดแล้ว
วันนั้นเราตัดสินใจกลับลงมาหาที่พักในตัวเมืองเชียงราย เพราะพรุ่งนี้เรามีอีกจุดหมายตามการแนะนำของหลานช้านนน...อีกที่ ซึ่งที่นี่น่าจะเหมาะสำหรับคนชอบเที่ยวไร่ ชอบซื้อของฝากมาก
เราได้แต่อธิษฐานในใจตอนเดินทางกลับว่า ฉันอยากมีเวลาให้ที่นี่มากกว่านี้ อยากเห็นทะเลหมอก ณ จุดที่ได้รับการรับรองจากนักท่องเที่ยวแทบทุกคนเลยว่า...สวยมาก ถ้ามีการจัดอันดับ ที่นี่จะต้องติดหนึ่งในสิบ และเป็นอันดับต้นๆ แน่นอน เพราะด้วยความที่อยู่บนจุดที่ไม่มีสิ่งใดมาขวางสายตา อยากมาเห็นด้วยตาของตัวเอง นั่นคงเป็นอีกเหตุผลที่จะต้องนำตัวเรากลับมาที่นี่อีกให้ได้....ว่าแต่ใครสนใจจะไปกับเราบ้าง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)