หลายคนเมื่อถึงวันเกิด ส่วนใหญ่สำหรับมนุษย์เงินเดือนอายุเข้าเลขสี่แบบเรา มันจะหนีไม่พ้น การไปใส่บาตร ถวายสังฆทาน การไปไหว้สักการะพระที่เราศรัทธา หรือการหาสถานที่ทำบุญ การไปเดินซื้อของเพื่อให้เป็นของขวัญตัวเอง หรือการไปหาอาหารรสเสิศตามใจปากของคนที่เป็นเจ้าของวันเกิด บางคนชอบร้องเพลง ก็อาจจะมีการชักชวนเพื่อนฝูงไปเจอกันที่คาราโอเกะ หรือร้านอาหารตามความชอบส่วนบุคคล หรือบางคนชอบกินข้าวที่บ้าน ก็อาจจะเลือกทำกับข้าวกินเองที่บ้าน เลี้ยงฉลองกันในครอบครัว พร้อมหน้าพร้อมตาสามีภรรยาและลูก หรือบางคนเลือกที่จะไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แต่สำหรับคนโสดแบบเรา เราก็เลือกที่จะทำคล้ายๆ กัยที่เอ่ยมาข้างบนนั่นแหละค่ะ แต่อาจจะลดปริมาณในบางเรื่องลง เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ทางการเงิน ในปีนี้วันเกิดเรา เราเลือกที่จะชวนเพื่อนสนิทคนนึงไปกับเรา ไปทำบุญ เดินเลือกซื้อของขวัญให้ตัวเอง และหาข้าวกินแบบเรียบๆ ง่ายๆ ตามสไตล์เรา
บ้านเราอยู่ลาดกระบัง เราเลยเลือกที่จะไปไหว้สักการะ พระพุทธรูปที่ทั้งประเทศเชื่อมั่นในความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน คือ หลวงพ่อโสธร ที่ตามประวัติว่า องค์ท่านลอยมาตามน้ำ แล้วมาขึ้นที่แปดริ้วตรงบริเวณที่เป็นวัด ณ ปัจจุบัน
เราใช้เส้นทางถนนสุวินทวงศ์ ระหว่างทางจะผ่านปั๊มบางจากสองปั๊ม ปั๊มที่สองนี้จะอยู่ใกล้จนเกือบจะถึงฉะเชิงเทราอยู่แล้ว จะมีร้านราดหน้าเยาวราชขายอยู่ในปั๊ม ซึ่งร้านนี้เราเคยตั้งใจจะมากินหลายรอบแล้ว ขึ้นชื่อของที่นี่ นอกจากราดหน้าหมูหมักนุ่มๆ แล้ว ก็จะมีอาหารตามสั่งบริการ แต่จานเด็ดที่ส่วนใหญ่จะสั่งกินกัน คือ สุกี้ น้ำจิ้มเต้าหู้ยี้รสชาดเด็ดขาด ซึ่งครั้งนี้เราไม่พลาดอีกแน่นอน
ร้านธรรมดา หลังร้านมีคลองเล็กๆ มีแหนลอยอยู่บนผิวน้ำเต็มเลย ไม่พลาดที่จะสั่งสุกี้น้ำรวมมิตร รออาหารซักพักใหญ่ เพราะคนขายทำไปคุยไป ด้วยความอารมณ์ดี อาหารจะได้อร่อย อันนี้เราคิดเอง
สุกี้น้ำรวมมิตรชามใหญ่หมดไปในเวลาอันรวดเร็ว คิดเงินกันเถิด ออกเดินทางต่อ
ถึงแล้ววัดหลวงพ่อโสธร ในรูปจะเป็นโบสถ์หลังใหม่ สวยงามมากเมื่อดูจากภายนอก ภายในสวยไม่แพ้กัน สงบเย็นมาก ในโบส์หลังใหม่จะมีองค์หลวงพ่อองค์จริงประดิษฐานอยู่ อนุญาตให้เข้าไปไหว้สักการะเท่านั้น ห้ามจุดธูป หรือปิดทอง ส่วนที่ให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปไหว้สักการะด้วยดอกไม้ธูปเทียนได้ยังคงเป็นที่โบส์เก่า กับหลวงพ่อองค์จำลอง
จุดธูปเทียน ด้านนอก แล้วเข้ามากราบท่าน และปิดทองด้านใน ประชาชนล้นหลามดังเดิม จะมากี่ครั้ง วันไหนก็ตาม แรงศรัทธาก็ไม่มีจางหาย ยังคงก็ล้มหลามจนเป็นภาพที่ชินตาที่สุด
จะปิดทองหลังพระซะหน่อย แต่องค์ท่านมีผ้าจีวรห่มอยู่จะเปิดผ้าขึ้น ก็เกรงจะไม่เหมาะ เลยปิดแถวๆ สะโพกแทน
กับอีกหนึ่งอย่างที่คนส่วนใหญ่ที่มาสักการะองค์ท่านจะต้องขอทำคือ การเสียงเซียมซี นอกเหนือจากการแก้บนด้วยไข่ต้มแล้ว ซึ่งต่อวันจะเห็นภาพคนเอาไข่ต้มมาแก้บนท่านเป็นจำนวนมาก อยากถามท่านจังเลยว่า เบื่อไข่ต้มแล้วหรือยังหนอ เราใช้วิธีหลับตาอธิษฐานแล้วเสี่ยงหยิบ หยิบได้เลข 9 อ่านรวมๆ โมเมเหมาเอาว่าดี จึงเอากลับมาด้วย แต่ใจอยากได้เลขสองตัวมากกว่า มันใกล้วันหวยออกแล้วนี่นา
ออกจากวัดจึงปรึกษากับเพื่อนว่าจะไปไหนต่อ เพื่อนแนะนำว่า น่าจะลองไป มหกรรมอาหารทะเลตลาดประมงท่าเรือพลี เลียบชายทะเล ชลบุรี ก็ดีสิใกล้แค่นี้เอง ยังไม่เคยไป แล้วเค้าจัดเฉพาะวันเสาร์เท่านั้น จึงออกเดินทางกันต่อ ไปถึงที่นั่นประมาณห้าโมงเย็นได้ แดดเปรี้ยงเลย แต่มีร้านมาตั้งเต็มแล้วนะ พอกันกับปริมาณคน
สัญลักษณ์ของงาน บริเวณนี้ตามประวัติว่าเป็นสถานที่ที่เคยเป็นท่าเทียบเรือประมงขนาดใหญ่ ที่มีการเอาอาหารทะเลสดๆ มาขึ้นและลงกันที่นี่ ฝั่งตรงข้ามของงาน มองออกไปในทะเล จะเห็นฟาร์มอะไรซักอย่างอยู่ใกล้ๆ ประมาณว่าไปจับใส่กระสอบมาขายกันตรงนั้นได้เลย
นี่ไง สภาพในงาน แบบที่เล่า เราไปถึงตอนประมาณห้าโมงเย็น แต่แดดร้อนมาก เดินไปเหงื่อออกหลัง จั๊กกะแร้เปียกแล้วเปียกอีก แต่ภายในงานเค้าจัดในลักษณะที่ให้พ่อค้าแม่ขายเจ้าดังมาตั้งร้านขายอาหารกัน เน้นไปที่อาหารทะเลสดๆ จะซื้อแบบทำสำเร็จพร้อมทาน หรือแบบสดก็มีให้เลือก แล้วในบริเวณนั้นก็จะมีโต๊ะเก้าอี้เขียวๆ ตั้งเรียงราย จะนั่งทานกันที่นี่เลยก็ได้ แต่ตอนนั้นเราไปมันร้อนมาก ยังนั่งไม่ได้ จึงเลือกที่จะเดินชมงานเค้าทั่วๆ ไปก่อน
หน้าบริเวณสถานที่จัดงาน
กุ้งเป็นกุ้ง
ร้านนี้ขายอาหารทะเลนึ่งใส่จานมาพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ด จานละประมาณร้อยนึง
กั้งหินนึ่ง น่ากินสุดๆ
ปลาทูแดดเดียว สามขีดร้อย รสชาดเค็มๆ หวานนิดๆ กินกับข้าวสวยร้อนๆ หรือกับข้าวเหนียวซักปั้นนึงนะ พุงแตกกันได้เลยทีเดียว
ส่วนร้านนี้ ทำกันเห็นๆ เลย ที่เห็นฉี่ๆ ในกระทะนั่นปลากระพงทอด แล้วยังมีแบบเผาเกลือ มีหอยแครงเผา และอีกหลายๆ อย่าง แค่ยืนดู น้ำลายก็ไหลแล้ว
เดินสำรวจรอบงานแล้ว แต่มันร้อนมาก นั่งกินไม่ได้ นั่งไม่ไหว ถ้านั่งนะ จะได้คนแดดเดียวกลับมาฝาก เลยเดินข้ามมาฝั่งตรงข้าม เก็บบรรยากาศเรือประมงมาฝาก
ตรงนี้พอนั่งหลบแดดได้บ้าง ข้างถนน หน้ารถกระบะใครก็ไม่รู้ รอเวลาให้แดดร่มหน่อย ตอนนี้เวลาหกโมงเย็นแล้วนะ แต่ดูแดดสิ เปรี้ยง
แดดร่มแล้ว พระอาทิตย์ตกแล้ว กลับไปในงานกันดีกว่า แต่ตอนนี้คลื่นมหาชนมาจากไหนกันนะ โต๊ะที่นั่งที่เห็นว่างๆ เมื่อกี๊ ตอนนี้เต็มหมด ไม่มีที่นั่ง เราเลยต้องเปลี่ยนที่กินไปที่ร้านเจ๊อ่วย ที่อ่างศิลา ขับรถจากที่นี่ประมาณยี่สิบนาทีได้
มาถึงร้านเจ๊อ่วยประมาณทุ่มนึงได้ มาไม่ถูก ให้พยายามขับรถเกาะป้ายร้านวังมุข รับรองไม่หลง เพราะมันมาทางเดียวกันแหละค่ะ ร้านนี้จะอยู่ฝั่งที่ไม่ติดทะเล วิวอาจจะไม่ดีเท่าไหร่ แต่รสชาดอาหารดีมาก และถูกกกกกก อันนี้สำคัญ เมื่อก่อนเราไปกิน ร้านนี้ยังเป็นร้านเล็กๆ จำได้ว่านั่งกินใต้ถุนบ้าน มีโต๊ะเล็กๆ ตั้งเรียงๆ กันไปใต้ถุนบ้านนั่นแหละ ตอนนี้ร้านใหญ่โต ปรับปรุงใหม่ โต๊ะนั่งมีทั้งแบบม้าหินนั่งได้สิบคน หรือจะเป็นแบบศาลา ก็เลือกเอาตามความชอบ
ของโปรดเลย ปลาหมึกต้มน้ำดำ หากินยากมาก จำได้ว่าแม่ของเพื่อนคนนึงเคยทำให้กินตอนไปนอนค้างบ้านเค้าที่กระบี่นู่นเลย รสชาดเค็มๆ หวานๆ กินเปล่าๆ กับน้ำจิ้มซีฟู้ด หรือกินกับข้าวสวยร้อนๆ ก็เข้ากัน แล้วก็นี่เลย
กรรเชียงปูนึ่ง แต่อันนี้ซื้อติดมาจากงานมหกรรมอาหาร ปูสดดีนะคะ เนื้อแน่น มาขออาศัยน้ำจิ้มร้านเจ๊อ่วย สุดยอดแล้ว อีกสอง อย่างที่สั่งคือ พล่าปลากุแลรสจัดจ้าน เป็นของขึ้นชื่อของชลบุรีอีกเมนูนึงเลย และปลาหมึกผัดไข่เค็ม กินหมดทุกอย่าง เลยว่าจะขอไปเดินชอปปิ้งที่แหลมแท่นอีกที่ เรียกเก็บตังค์ ค่าอาหารทั้งหมด 395 บาท เป็นไง เชื่อแล้วยังว่าถูก
ขับรถมาอีกหน่อยเดียวก็ถึงแหลมแท่น อยู่ติดกับบางแสน ทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ จะมี Walking Street มีร้านเก๋ๆ ขายสินค้าจากไอเดีย มีดนตรีที่เล่นเพลงแนวฟังก์ สกา จังหวะสนุกๆ และมีอาหารขาย พร้อมโต๊ะนั่งพื้น ที่ใครต้องการกินอาหารก็เลือกซื้อมานั่งได้เลย จึงเป็นที่รวมของวัยรุ่น และน้องๆ นักศึกษา ม.บูรพา จะพากันมาเดินเที่ยวกันที่นี่ ตอนนี้มีการจัดสถานที่ให้สามารถถ่ายรูปได้ด้วย
ตัวอย่างที่เค้าจัดที่นั่ง หรือบริเวณให้เราถ่ายรูปกัน จำลองสถานีรถไฟมาเลย
นี่บริเวณที่จัดเป็นที่นั่งแบบนั่งติดพื้น รอบก็จะมีอาหารขาย เลือกกินเลือกซื้อกันตามความชอบ มีให้เลือกหลายอย่าง เห็นก้อนหินตรงนั้นมั๊ย นั่นแหละสัญลักษณ์ของแหลมแท่น
ร้านนี้ขายของเล่นย้อนยุค จัดร้านสวยจัง ขอชักภาพซักรูป
ดึกพอสมควรแล้ว น่าจะประมาณสี่ทุ่มได้ คนยังแน่นอยู่เลย สังเกตจากปริมาณรถ แน่นจนไม่มีที่จอด
บรรยากาศเขาสามมุกตอนค่ำ ที่เห็นลิบรางนั่นแหละ เขาสามมุก คงต้องถึงเวลากลับแล้ว เออ...ลืมเลย สรุปเราซื้อของขวัญให้ตัวเองเป็นอันนี้ พวงกุญแจรถเป็นเลขทะเบียนรถเรา
เห็นทะเบียนรถคันนี้ที่ไหน อย่าลืมเข้ามาทักกันได้เลยนะคะ แล้วก็ได้เวลากลับกันแล้ว มาถึงบ้านเอาประมาณเที่ยงคืนพอดี แยกกันกลับบ้าน นอนบ้านใครบ้านมัน
จบทริปนี้ด้วยความสงบ และเป็นสุขใจ ขอส่งความสุขใจเล็กๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างทริป ไปถึงบางคน เผื่อเอาเป็นไอเดียให้ตัวเองในวันเกิดได้บ้างนะคะ................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น