วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ชวนบนบาน ณ ดินแดนวีรชนคนกล้า ค่ายบางระจัน สิงห์บุรี

            วันนี้จะพาออกเดินทางไปจังหวัดใกล้กรุงเทพฯ  ด้วยระยะทางประมาณร้อยกิโลได้นะ ขับรถถ้าไม่หลง  ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงโดยประมาณ  จุดหมายปลายทางคือ วัดโพธิ์เก้าต้น จังหวัดสิงห์บุรี การได้ไปไหว้พระสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่นับถือแล้ว  งานนี้ยังมีจุดประสงค์หลักคือ  จะไปบนบานศาลกล่าว  ส่วนจะขอเรื่องอะไร  แล้วการแก้บนจะแก้ด้วยอะไร เรื่องที่ขอจะสำเร็จหรือไม่  ติดตามอ่านได้ในการเดินทางครั้งนี้เลยจ้า
            ขบวนเราหกคน หน้าสองหลังสี่ ผู้ใหญ่ห้า เด็กอีกหนึ่ง เขียนให้ดูเหมือนไปกันหลายคน จริงๆ  แค่หกคนนั่นแหละ  เดินทางออกจากกรุงเทพฯ ประมาณแปดโมงเช้า มุ่งหน้าสู่จังหวัดสิงห์บุรี ด้วยเส้นทางตามป้ายบางปะอินทร์  ผ่านอยุธยา  เลี้ยวเข้าสิงห์บุรี ขับตรงมาตามถนนหมายเลข 3032 ก่อนจะถึงวัดโพธิ์เก้าต้น จะผ่านวัดพระนอนจักรสีห์จะผ่านไปเลยคงไม่ดี   เอ้าแวะกันก่อน


            วันที่เราไป  องค์พระอยู่ระหว่างการปิดทองใหม่ทั้งองค์ จึงเห็นนั่งร้านตั้งระเกะระกะอยู่โดยรอบ แต่ถึงจะมีนั่งร้านตั้งอยู่  ก็ไม่ทำให้คลื่นศรัทธาของคนไทยลดน้อยลงเลย

           บริเวณที่ทางวัดจัดไว้ให้เป็นบริเวณสำหรับกราบพระ  มีงาช้างของสูงค่า ที่ท่านเจ้าอาวาสท่านได้สะสมไว้  ตั้งไว้ให้ประชาชนได้สักการะหลายคู่

               ไม่ได้มีแต่พระนอนเท่านั้น  พระปางยืนพุทธลักษณะต่างๆ  ก็มีให้กราบไหว้ หรือปิดทองอีกหลายองค์

                บางส่วนของพระพุทธรูป  ที่เรียงราย  โดยรอบองค์พระนอน  บริเวณนี้ห้ามปิดทอง เผยให้เห็นเนื้อแท้ๆ  ของพระพุทธรูป  แสดงถึงความเก่าแก่ได้แม้ไม่มีความรู้เรื่องของเก่า  ควรค่าแก่การสักการะ และอนุรักษ์อย่างยิ่ง


              กับบางมุมที่ได้รับความสนใจจากคนที่เดินผ่าน  เป็นมุมของสะสม ที่ท่านเจ้าอาวาสท่านได้เก็บไว้ และนำออกมาแสดงให้ประชาชนทั่วไปได้ชม  มีเหรียญเก่า  แบงค์เก่า เครื่องถ้วยชามเบญจรงค์  มุมนี้ถ้าใครรู้จัก หรือเคยได้ใช้แบงค์ หรือสตางค์ ที่แสดงไว้มากกว่าห้าแบบขึ้นไป  บอกได้เลย อายุสี่สิบขึ้นแน่นอน  ตัวเราก็คนนึงแล้ว

               ชี้ชวนกันดู  แบงค์นี้เราทัน  ใบนั้นก็ทัน  นี่ที่บ้านก็มี  อันนี้ก็ด้วย  ใบนี้เคยใช้  นี่แบงค์ห้าบาทหรอ  เออ....แก่กันครบถ้วนยกแกงค์....ฮุฮุฮุ

            ตรงทางเดินเข้าโบสถ์  จะมีพระสังกัจจายน์  ใบหน้ายิ้มแย้มแก้มกลม  ให้ผู้รักการทำบุญหยอดเงินใส่สะดือ หรือจะใส่ในบาตรที่ตั้งไว้ก็ตามอัธยาศัย

          ด้านนอก  ทางวัดจัดให้เป็นบริเวณศึกษาวิถีชีวิตไทย  จะนั่งรถไฟไปชมวัดใกล้เคียง หรือจะแค่เดินเที่ยวก็เข้าท่า  บริเวณนี้มีวัว และควาย มาต้อนรับดุจญาตมิตร  รอให้เราป้อนหญ้า เจ้าตัวนี้ดูท่าจะอายุมากแล้ว สังเกตจากเขา  ยาวและโค้ง  น่าจะหนักด้วยนะนั่น  ส่วนคนที่กำลังป้อนหญ้าให้ควาย สองคนนั่น  คนนึงอดทนเหมือนควาย  อีกคนน่าอนุรักษ์ไว้เหมือนควายเช่นกัน  ถ้าสองคนนั่นมาอ่าน คงปลื้มใจ สรรเสริญคนเขียนน่าดู

         
            เอาถ่ายรูปให้แม่กะพ่อหน่อย  ดูสิ  ระหว่างควายกับพ่อ  ใครจะถ่ายรูปขึ้นกว่ากัน  ไม่ต้องตอบก็ได้ ภาพมันฟ้องทนโท่

            ด้านนอกของวัดมีตลาดขายสินค้า พวกน้ำพริก ไข่เค็ม และอีกหลายอย่าง มีห้องน้ำสะอาดให้บริการด้วยนะ   คนรักการซื้อของฝากทั้งหลาย  สามารถเดินหาซื้อติดไม้ติดมือกันได้  ซื้อของกันแล้ว เดินทางต่อกันดีกว่า

             ออกจากวัดพระนอน  ตรงดิ่งมาที่วัดโพธิ์เก้าต้น  วัดนี้สำคัญมากตรงที่เคยเป็นที่ตั้งของค่ายวีรชนบ้านบางระจัน  ที่น้าแอ็ดร้องเป็นเพลงว่า
             "  บางระจัน บางระจัน บางระจัน มิอาจยืนอยู่ถึงวันเพ็ญเดือนสิบสอง"  นับถึงวันนี้ก็หลายร้อยปีผ่านมาแล้ว แต่วัตถุประสงค์หลักของเราที่มาที่วัดนี้มิได้อยู่ที่ประวัติอันควรค่าแก่การจดจำนี้   บอกตั้งแต่ต้นแล้ว  ว่าเรามาที่วัดนี้ทำไม  อย่าช้าใย  ไปทำตามความตั้งใจก่อน

            พระอาจารย์ธรรมโชติ  หรือหลวงปู่ธรรมโชติ  ที่พึ่งของชาวบ้านบางระจัน  ความศักดิ์สิทธิ์ของท่านมิได้สิ้นสุดไป ณ วันที่ค่ายบางระจันแตก  แต่ยังคงความศักดิ์สิทธิ์มาจนถึงวันนี้  ที่วัดนี้  จะมีรูปหล่อของท่าน จากรูปที่เห็น องค์เล็กๆ ทางขวามือสุด  และถ้าเดินถัดออกไปก็จะมีศาลของท่าน ที่สร้างขึ้นตามมาทีหลัง มีรูปเหมือนของท่านประดิษฐานอยู่  จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ในวัดแล้ว  บอกเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า ถ้าจะมาขอ มาบน  ขอให้กราบท่านที่องค์รูปหล่อนี้   อย่ารอช้า  ดอกไม้ธูปเทียนด่วนจี๋ 

          บรรจงจุด  กราบ  และตั้งจิตขอจากท่านกันตามความต้องการของแต่ละคน ใครใคร่ขอ ขอ  ใครใคร่ไหว้อย่างเดียว ก็ไหว้  ไม่ว่ากัน

           มีบทสวดตัวโต  มองเห็นเด่นชัด ไม่ต้องเพ่ง ตั้งจิตอธิษฐานกันดีๆ  จะได้ตามคำขอกันถ้วนหน้า  แต่อย่างที่บอก  ไม่ใช่ว่าจะขอจากท่านข้างเดียว  ควรจะต้องมีบางอย่างมาทำให้ท่านด้วย หรือเรียกว่า แก้บนนั่นเอง

        บ่อน้ำมนต์  หรือบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์  ตามประวัติว่า เมื่อครั้งที่ชาวบ้านในระแวกบางระจันอพยพหนีภัยสงครามมาอยู่กันในค่ายเป็นจำนวนมาก และกองกำลังชาวบ้านเหล่านั้น เช่น นายจันทร์ หนวดเขี้ยว นายทองเหม็น ซึ่งเป็นแนวหน้าต้อสู้ต้านทหารพม่า ซึ่งเข้าตีค่ายบางระจันหลายครั้ง ทำให้พระอาจารย์ธรรมโชติปลุกเสกน้ำมนต์ไม่เพียงพอกับปริมาณคน  ท่านจึงได้ใช้บ่อน้ำนี้ทำเป็นน้ำมนต์  เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการ  และที่ผ่านมาก็พบว่า น้ำในบ่อนี้ไม่เคยแห้ง อาจจะมีบางเดือนที่ปริมาณน้ำลดลงบ้าง
        นี่จึงเป็นจุดที่ใครก็ตามที่มากราบขอสิ่งใดจากพระอาจารย์ธรรมโชติ จะทำการแก้บนด้วยการไปตักน้ำใส่ คุถัง หรือถังน้ำพลาสติกสองใบ  มีคอนสำหรับวางบนบ่า   และต้องตักให้เต็มถังทั้งสองใบด้วย  จึงจะถือว่าแก้บนถูกต้อง  ระยะทางในการหาบน้ำต่อเที่ยว จากบ่อด้านหลังใกล้ป่า  จนเดินมาจนถึงบ่อศักดิ์สิทธิ์  ก็ตกประมาณสองร้อยเมตรกว่าๆ  เดินไปเดินกลับตกห้าร้อยเมตรต่อเที่ยว  ทั้งนี้การแก้บน อาจจะจ้างหาบน้ำก็ได้  มีน้องๆ หนุ่มๆ สาวๆ แถวนั้นรับจ้างหาบ อัตราการจ้างเราลืมถามมาว่าคิดเท่าไหร่  หรือจะหาบเองก็แล้วแต่  จำนวนในการหาบขึ้นอยู่กับว่า จะบอกกล่าวกับหลวงปู่ไว้อย่างไร  และที่สำคัญ  เมื่อแก้บนเสร็จแล้ว จะต้องมาลงทะเบียนที่สมุดที่ทางวัดจัดไว้ด้วย  เพื่อเป็นการบอกแจ้งแก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า  เราได้ทำตามที่บอกไว้เสร็จสิ้นแล้ว  จะได้ไม่มีการมาตามทวงกันทีหลัง  ประมาณนั้นนะ  ฟังจากเจ้าหน้าที่ของทางวัด ที่พยายามประกาศให้คนที่มาขอ หรือมาแก้บนได้รับรู้กันทั่วๆ

             ไม่ไกลจากองค์หลวงปู่ธรรมโชติ  จะมีศาลดวงวิญญาณของบรรพชนผู้กล้า ที่สละชีพเพื่อปกปักษ์รักษาแผ่นดิน  มาถึงตรงนี้  ทำเอาเราสะท้อนหัวใจ  กว่าเมืองไทยจะผ่านร้อน ผ่านหนาวมาจนถึงวันนี้  ต้องมีผู้ที่ต้องสละชีพเพื่อปกป้องเอาไว้กี่ชีวิตกันแล้วนะ  แล้วพวกเราล่ะ  ทำอะไรกันอยู่
             ติดกับศาลบรรพชน  มีรูปปั้นควายที่ใช้เป็นพาหนะในการออกรบ   วัดก็ให้ความสำคัญมาก  มากพอที่เราสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องแสดงความเคารพ  โดยสามารถบูชาด้วยหญ้า ที่มีให้บริการโดยบริจาคเงินตามกำลังศรัทธา ในบริเวณใกล้กันนั่นเอง

            พากันเดินข้ามไปฝั่งตรงกันข้ามกับวัด  เพื่อสักการะอนุเสาวรีย์วีรชน  ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงมาเปิด  หลายปีมาแล้ว

             อนุเสารีย์ตั้งเด่นเป็นสง่า  น่าเคารพมาก  ยิ่งยืนมองสีหน้าของวีรชนแต่ละท่านนานเท่าไหร่  ก็ยิ่งทำให้เรารู้สึก และรับรู้ได้ถึงความเสียสละของท่าน  ที่เพียงแค่พวกเรามากราบไหว้  คงไม่เพียงพอ หรือได้เศษเสี้ยวของความเสียสละของท่านเหล่านั้นเลย

            ผ่านความซาบซึ้งปนความรู้สึกยิ่งรักประเทศไทยมากขึ้นอย่างบอกไม่ถูก  เราออกเดินทางกันมาต่อที่วัดพิกุลทอง  ซึ่งระหว่างทางที่ขับรถเข้ามาจะมองเห็นพระสีทององค์ใหญ่ได้แต่ไกล  แต่อาจจะไม่ใหญ่เท่าองค์พระที่วัดม่วง ของอำเภอวิเศษชัยชาญ  อ่างทอง  แต่องค์นี้ก็นับว่าใหญ่ไม่แพ้กันเลย

                เงยหน้าขึ้นมองฟ้า ก็ให้ตะลึงกับภาพที่เห็น พระอาทิตย์ทรงกลด ทาบทับองค์พระ ทำให้องค์พระดูขลัง และสวยงามมาก  มีบางคนเคยบอกไว้ว่า  ถ้าเห็นพระอาทิตย์ทรงกลดให้อธิษฐานขอ จะได้สมความปรารถนา  เราก็ขอนะ  แต่ขอความกล้า ที่จะคิด ทำ และพูดแต่ในสิ่งดีๆ  แล้วนี่มากราบพระด้วยนะ  คำอธิษฐานยิ่งส่งผลเร็วขึ้นอีก  จะเป็นคนดีแล้วเรา

               รอบวัดมีสัตว์ปูนปั้น  ตัวนั้นตัวนี้  แต่ตัวนี้พิเศษ  ที่เห็นนั่นคงพอดูออกว่าเป็นเสือ  ช่างทาสี  เค้าจะตั้งใจ วาดลายเสือแบบนี้หรือเปล่า หรือจะเพราะวาดลายเสือไม่เป็น    เอาเลย วาดรูปดาวมันซะเลย ได้เสือดาวแล้วนั่นไง  ดูดิ  ดาวเต็มเลย  มีสี่ตัวด้วยนะ  ตัวหน้านี่  ดาวน์น้อยผ่อนนาน ถัดไป ดาวน์แล้วไม่ผ่อน ตัวสุดท้ายสีดำด้วยนะ

                ติดแบลกลิสต์กันเลยก็แล้วกัน

           คิงคองมั๊ยนะตัวนี้  แต่ที่รู้  ตัวผู้ชัวร์  หลังจากถ่ายรูปนี้เสร็จ  เห็นทางวัดเอาแอลกอฮอล์มาราดฆ่าเชื้อกันเป็นการใหญ่  แถมมีได้ยินเสียงบ่นลอยมาอีกว่า ของเค้าสะอาดดีๆ  มากอดจูบลูบคลำซะหมองหมดเลย  ของวัดก็ไม่เว้น

         
             แน่ะดู  ว่าแล้วยังไม่หยุด  มาอีกละ   ต้องเอาแอลกอฮอล์ไปเช็ดอีกละ  ไอ้ตัวนี้มาหนักเลย เอาสีผิวมาตกใส่คิงคองอีก  ดูสิ  ดำเลย

            เหนื่อยเหน็ดจากการถ่ายรูป  ก็แวะมาให้อาหารปลากัน  ซื้อขนมปังวัดมากปอนด์นึง แบ่งกันหกคน ค่อยๆ โยนให้ปลา  โยนแรงไม่ได้นะ  ขนมปังมันจะปลิวหายไปหมด  ไม่ตกถึงน้ำ  เปล่าน่า  อันนี้ล้อเล่น ใช่ที่ไหน  ปอนด์นึง แบ่งกันกินครึ่งนึงก่อน ที่เหลือค่อยให้ปลาสิ  อิอิอิ
            หลังวัดบริเวณที่เป็นที่พักสงฆ์  จะมีตลาดร้านค้าขายสินค้าของฝากอีกแล้ว  แต่ตรงนี้จะเด่นก็เรื่องปลาร้า  มีหลายแบบ ทั้งปลาร้าเป็นตัวๆ หรือจะปลาร้าสับดิบ หรือผัดสุก ก็มีให้เลือก  แต่มีอันนึงที่เราแนะนำนะ ถ้ามีโอกาสผ่านไปคือ ห่อหมก ห่อละยี่สิบบาท จะมาขายวันหยุดเสาร์อาทิตย์  อร่อยมาก เครื่องแกงหอม เผ็ดพอดี กินกับข้าวร้อนๆ หยดน้ำปลาหอมๆ ลงเล็กน้อย อร่อยที่สุด เขียนไปนี่  ยังน้ำลายไหลหยดลงคีย์บอร์ด
            เอาละ  วันนี้พอเท่านี้  เราเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ ด้วยเส้นทางเดิม มาแวะซื้อกุ้ง  หอยนางรม และหอยแครงตัวใหญ่มาก เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู  นานๆ จะได้เจอหอยแครงไซค์นี้  หายากแล้ว ตัวโตขนาดนี้ ที่ที่เราแวะซื้อของสดคือ  ที่ตลาดกลางการเกษตร หลายคนที่มาอยุธยา  ขากลับส่วนใหญ่จะแวะที่นี่  มีของสดๆ ขายเยอะมาก  จะนั่งกิน หรือจะซื้อกลับก็ได้  มีให้เลือกหลายราคา ตามกำลังทรัพย์ในกระเป๋า  เมื่อก่อนไม่นานมานี่เอง มีเงินสองร้อยซื้อกุ้งตัวใหญ่ๆ  ได้  แต่ตอนนี้  สองร้อยซื้อได้แค่ลูกกุ้ง  เอามาเผาต้องคอยระวังกุ้งลอดตะแกรงตกลงเตา  เอาน่า  อย่างน้อยก็ได้กินกุ้งเผากะเค้าละกัน
           ส่วนเรื่องที่เราบนขอหลวงปู่  จะสำเร็จหรือไม่  ถ้าเราต้องกลับมาแก้บน แสดงว่าสำเร็จใช่มั๊ย  ยังไม่รู้ผลเลย   ถ้าอย่างนั้นขอให้ติดตามเราต่อไปนะ.....วันนี้พอแล้ว พอจริงๆ พอเหอะ... แน่ะ...บอกว่าพอไง  จะตามมาอ่านทำไม  ไป...ไปได้แล้ว....ยังอีก  เอ๊ะ!!!  ยังไง  ดื้อนะเนี่ย ...  พูดไม่ฟังเลย...ต้องให้ทำยังไงนะ
           จับจูบซะดีมะ......

          ขอบคุณที่ตามอ่านค่ะ...รักอีกครั้ง...







         

6 ความคิดเห็น:

  1. เห่อๆๆ ผมไม่ใช่เด็กหาบสักกะหน่อยนะ อย่าเข้าใจกระผมผิดนะฮับ ท่านผู้อ่าน 5555


    ลงรูปเป็นนายแบบต่อท้ายสะขนาดนั้น

    ตอบลบ
  2. สวัสดีจ้ะ ชมเพลิน ภาพน่ารักมากๆ บล็อกสวย

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะ จะตั้งใจเขียนบล็อกเล็กๆ นี้อย่างต่อเนื่อง เอามาให้อ่านอีกนะคะ ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป อยากให้ติดตามด้วยนะคะ

      ลบ
  3. เห็นบล๊อกนี้ มีรูปเราด้วย หน้าดำมาก

    ตอบลบ
  4. ชอบคุณสำหรับคำชมค่ะ ถ้ามีเวลาตามอ่านบทความเล็ก ในโลกของคนตัวเล็กต่อนะคะ ขอบคุณอีกครั้ง ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ
  5. ง่ะ ดำเพราะช้างสิคะท่าน หรือราหูอมหว่า

    ตอบลบ