จำได้ว่าออกเดินทางช่วงสงกรานต์ปี 2553 นะ กลับมานั่งเขียน blog เอาเมื่อหนึ่งปีผ่านไป แต่ยังประทับใจกับการเดินทางครั้งนั้นแบบไม่รู้ลืม เราเดินทางด้วยรถทัวร์ออกจากหน้ารามตอนประมาณสองทุ่มได้ของวันศุกร์ รถทัวร์นี้จะเป็นรถของเอกชนที่มารับส่งคนกลับบ้านทางภาคใต้ในช่วงวันหยุดเท่านั้น แต่ต้องมีการจองตั๋ว ราคาตั๋วเราจำไม่ได้แล้ว แต่น่าจะถูกกว่าของ บขส.บ้างเล็กน้อย และตอนที่ไปนั้น เราได้นั่งที่เบาะยาว แบบโซฟาใต้รถ นึกภาพออกมั๊ย รถแบบสองชั้นที่ข้างล่าง มีโซฟาล้อมเอาไว้นั่งเล่นไพ่ หรือตั้งวงกินเหล้า แบบนั้นน่ะค่ะ นั่นแหละเราได้นั่งกันบนโซฟา
นี่ไง ที่นั่งของเรา ได้ที่ดีมาก หน้าทีวีเลยนะ และนี่คือคนนำทริป เราไปเที่ยวบ้านของน้องคนนี้ "หญิง ณ กันตัง"
แล้วด้านหลังของโซฟาที่เรานั่ง ก็มีชายหนุ่มหญิงสาวคู่นึง นั่งเบาะคู่กัน ส่วนโซฟาตรงข้ามเราลำบากหน่อย เพราะนั่งสามคน ชายหนึ่งหญิงสอง หญิงหนึ่งมาเดี่ยว หญิงอีกหนึ่งมากับชาย ประคองนอนหนุนไหล่กัน กว่าจะถึง คงมีใครคนนึง คอหักด้วยความรักแน่นอน ส่วนเราสองหญิง นั่งเหยียดเท้าเข้าหากัน พอได้หลับในท่าปกติบ้าง ไม่สบายเท่าไหร่ แต่สบายกว่าโซฟาตรงข้ามแน่นอน คงพอนึกภาพการเดินทางไปของเราออกแล้วนะคะ
เราเดินทางถึงกันตังประมาณแปดโมงเช้า แม่หญิง พลอยหลานสาวจอมแสบ และแนน น้องคนที่สามของหญิงมารับ(เดี๋ยวจะได้เห็นหน้า ครบทุกคนที่เราเอ่ยถึง) แม่พาไปกินข้าวเช้าที่ร้านติ่มซำ ตามสไตล์คนตรัง ติ่มซำลำเลียงมาให้เลือกแบบละลานตา แต่เราสำนึกได้อย่างนึงว่า ตลอดทางที่แนนขับรถพาเราเข้าบ้าน หญิงคุยภาษาถิ่นกับแม่และน้อง ให้ดิ้นเลย เราฟังไม่ออกเลยซักคำ ฟังรู้เรื่องแค่คำขึ้นต้น กับคำลงท้ายแค่นั้น แค่นั้นจริงๆ แต่เราก็เนียนด้วยการพยักหน้าเป็นระยะ ทำท่าเหมือนเข้าใจไว้ก่อน กลัวเค้าว่าคนกรุงหูไม่ถึง ได้หญิงแหละ เป็นล่าม เพราะมันคงรู้ทัน ว่าเราฟังไม่รู้เรื่องเหลยนิ
บ้านหญิง ณ กันตัง ขายของแบบร้านโชว์ห่วย มีของทุกอย่างขาย กระป๋องพลาสติก ถ้วย ชาม แก้ว โอ๊ยสารพัด ไม่สามารถแจกแจงได้หมด เราเลยได้ไปช่วยขายของ สนุกมาก ขอบอก ทำงานแลกเบียร์สองป๋องต่อวัน
แต่ไม่สิ ไปบ้านเค้าทั้งที เจ้าของบ้านนักเที่ยวแบบ หญิง ณ กันตังมีหรือจะปล่อยเวลาให้ผ่านไป ที่แรกที่ได้ไปคือ แต่น แตน แต๊นนนนนน.......ถ้ำเล เขากอบ
สนุกมาก Amazing สุดๆ มีอย่างหรอ พายเรือลอดถ้ำ ถ้ำที่ว่าเนี่ย สูงขึ้นไปเหนือหัวแค่ศอกเดียว ย้ำแค่ศอกเดียว หรือบางช่วงต่ำกว่านี้อีก ฉะนั้นคนพายเรือพาเราเข้าไปต้องแข็งแรงมาก เพราะไหนต้องพายเรือลอดเข้าไป ไหนจะต้องเอาหลังตัวเองดันผนังถ้ำ เพื่อให้เรือจมลงเพียงพอให้เรือสามารถลอดถ้ำที่เตี้ยแทบจะติดน้ำเข้าไปได้ ไม่ต้องพูดถึงคนนั่งไปแบบเรา ไม่นั่งสิ นอนค่ะนอน นอนดูผนังถ้ำเฉียดปลายจมูก ดีนะดั้งไม่มี ไม่งั้นขูดกะผนังถ้ำไปแล้ว
นี่ไง ทางเข้าถ้ำ เห็นหรือยังคะ นี่ยังเป็นช่วงที่ผนังถ้ำสูงหน่อยนะ ข้างในอ่ะ สุดๆ ตื่นเต้นมาก จะเราไม่กล้าแม้แต่จะกระดิกตัวเอากล้องขึ้นมาถ่ายเลย คนที่นั่งไปเรือลำเดียวกับเรา ถึงกับบอกว่า เข้าไปแล้วออกมา เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ประมาณนั้นเลย ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าเรือจะเข้าไปได้ แบบนี้อยากให้ไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง ตัวเล็กที่หันหน้ามานี่แหละ พลอยจอมแสบ เด็กรสแซ่บ หลานสาวของหญิง
แล้วที่ต่อไปที่เราไปเที่ยวก็คือ ถ้ำภูผาเพชร หรือสำเนียงแม่หญิงจะบอกว่า ถ้ำภูผาเผ็ด คนไหนแม่หญิงหรอ คนที่ใส่เสื้อลายทางน้ำตาลนะ นั่งกลางหมู่เลย สองเด็กข้างหลัง พลอยกะ...จำชื่อไม่ได้แล้ว จำได้คือเจ้านี่ อวกตลอดทาง เมารถ คนเสื้อเหลือง นี่น้องสาวคนสุดท้องของหญิง เจ้าจ๋า พูดเร็วมาก ปกติธรรมดาเราก็ฟังไม่ทันและไม่เข้าใจอยู่แล้ว ถ้าจ๋าพูด ไม่ต้องห่วงเลย สนิท ดิฉันใบ้สนิท และนั่นเพื่อนเรา ได้เพื่อนกลับมาอีกคน น้าถั่ว สาวผมยาวหลังค่อนไปทางข้างหลังแม่หน่อยนึง นั่งกินเบียร์เป็นเพื่อนเราตั้งหลายวัน ยิ่งเขียน blog นี้ ยิ่งคิดถึง ส่วนสาวเสื้อกล้ามดำโชว์ท่อนแขนอวบๆ น่ากัดนั่น ชื่อนิ เป็นน้องสาวหญิงคนที่สอง คนนี่ต้องกราบเลย ขับรถเก่งมาก ชอบขับรถ ขับจากตรังไปแม่ฮ่องสอนมาหลายรอบแล้ว
นี่หล่ะมั๊ง เป็นที่มาของคำว่า ถ้ำภูผาเพชร ดูที่พื้นนะ ห้ามดูเท้าเรา เห็นมะมีเกร็ดเล็กๆ สะท้อนแสงออกมาจากหิน แม่บอกว่าให้เดินย่ำๆ จะได้เหมือนเหยียบเพชร เหยียบพลอย จะโชคดี ร่ำรวย
ช่องนี้ชูสองนิ้วติดบัตร ลุงคนนำทางบอกว่า คนมีบุญถึงจะลอดได้ไม่ติด งั้นเราก็มีบุญมากเลยสิ ลอดไม่ติด แถมยังถ่ายรูปติดอีกด้วย ดูธรรมชาติสิ กว่าหินงอกหินย้อยมันจะมาบรรจบกันได้ ใช้เวลากี่ล้านปีไม่รู้นะ
หินย้อยรูปหัวใจ มีดวงเดียว
กับช่องที่มีแสงลอดเข้ามาในถ้ำ ลุงคนนำทางบอกว่าลักษณะเหมือนหัวใจ พยายามถ่ายรูปออกมาจะได้เอาไปคู่กับหัวใจดวงข้างบน แต่ถ่ายมุมไหน ก็ไม่ยักกะเหมือน
ถึงตรงปากทางออกแล้ว ดูจากสภาพของแต่ละคน เหงื่อท่วม เราลอดออกมาก่อน ที่เหลือทะยอยตามกันออกมา สภาพทรุดโทรมไม่แพ้กัน นิ พาเราจึงไปเที่ยวต่อกันที่ น้ำตกธารสวรรค์นะ หนีร้อนมาพึ่งเย็น นิว่างั้น แต่ไม่น่าเรียกน้ำตก หรือเราจำผิดนะ ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องพายเรือล่องแก่งสายน้ำไม่เชี่ยวมาก เหนื่อย และสนุกไปอีกแบบ เราทั้งตกน้ำ โดนพายฟาดหัว ตกเรือโดนเรือกระแทก และอีกหลายๆ อย่าง แต่ยังอยากกลับไปอีก จริงๆ
นี่ภาพก่อนไปพายเรือ ยังพอทนดูได้ สองเด็กแถเล่นน้ำอยู่นั่น น้ำใสไหลเย็นเห็นตีนกู
กำลังชุลมุน เอ็งไปก่อนสิ เอ็งไปสิ เดี๋ยวแม่ตาม มาพลอยมานั่งลำนี้ อ้าว แล้วไอ้ตัวเล็กอีกตัวไปไหน อ๋อ นี่นี่นั่งลำนี้ จัดขบวนกันวุ่นวาย เราทำท่าเหมือนจะเก่ง แต่ให้ดิ้นสิ เกือบเอาตัวไม่รอด แบบที่เล่า ทั้งโดนพายฟาดหัว ทั้งพายเรือไปติดแก่ง ขวางทางคนอื่น จนเค้าต้องพายมาชนเรือเรา จนเรือเราคว่ำ แถมเรือที่คว่ำมากระแทกหัวเข้าอีก เอา เอาเข้าไป ซะใจจริงโว้ย
ทะยอยพายตามๆ กันออกไป ขบวนเรามีน้องคนนึงคอยช่วยนำทาง คอยมาประคองกันให้ไปถึงจุดหมาย นักท่องเที่ยวบางคนไม่อยากพายเอง ก็จ้างน้องๆ เหล่านี้พายให้ก็ได้ แต่มันจะไปสนุกอะไร มันต้องพายเองสิ เป็นมั่งไม่เป็นมั่ง ถ้าเราพายเก่งป่านนี้เราไปพายเรือขายของริมคลองไหนไปแล้วสิเนอะ แล้วก็รอดมานั่งเขียน Blog อยู่นี่งัย จิงมะ
ตรงนี้หาดปากเม็ง เป็นที่ที่แม่บอกว่า เบื่อมากไม่อยากมา แม่อยู่กับเลมากทั้งชีวิตแล้วนิ เลยไม่ชอบไปแล้ว แต่นี่พาเรามากินข้าวนั้น ส่วนพลอยแสบ วิ่งตื๋อลงไปเล่นน้ำแล้ว
ตัวนี้เจอในห้องส้วม ใช่ ฟังไม่ผิด ในห้องส้วมร้านอาหารที่เราไปกินข้าวที่หาดปากเม็ง ร้านนี้เลี้ยงแมวพันธุ์นี้ไว้หลายตัว แต่ตัวนี้พิเศษชอบนอนให้ห้องส้วม แล้วดูหน้ามันดิ ประมาณว่า "กูจะนอน เมิงมาฉี่ไรตอนนี้เนี่ยฮะ เด๋วปั๊ด กัดขาแหว่ง"
นี่อีกตัว ดูสิคะ เป็นงัยหล่อซะ จิกตามองข้างเข้าหากล้อง รูมุมดีจริงๆ
ก่อนนอนคืนนั้น หญิงพาเราไปเที่ยวในตัวอำเภอกันตัง และเราก็ได้รู้อย่างนึงว่า ต้นยางที่หลวงรัษฎาท่านเป็นคนนำมาปลูกในประเทศไทยจนกลายเป็นพืชเศรษฐกิจเท่าทุกวันนี้ ต้นแรกอยู่ที่นี่ อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง สำหรับเราปลื้มแทนนะ เมืองนี้มีประวัติศาสตร์ มีเรื่องเล่าไปได้ชั่วลูกหลาน นอกจากนี้ยังมีสถานีรถไฟสุดเก๋า สถานีรถไฟเมืองกันตัง แต่ทริปนี้เราไม่ได้ไป เพราะหญิงมันลืม ลืมว่าบ้านมันมีสถานีรถไฟ เอาสิเอากะมัน
ฝั่งตรงข้ามที่เห็นป้ายไฟสว่างนั่น โลตัส หนึ่งตำบลหนึ่งโลตัสจริงๆ และที่นี่ ก็มีเรื่องอีกอันนึงที่เราฟังแล้วยังสะเทือนใจมาจนถึงตอนนี้ คือเรื่องที่ พ.ต.อ.สมเพียร ขอย้ายมาอยู่ที่กันตัง แต่ไม่ได้ย้าย จนกระทั่งเสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่ เราฟังแล้วน้ำตาไหล ใช่ คนใจหมาแบบเราน้ำตาไหล หญิงขับรถมอเตอร์ไซค์ผ่านสถานีตำรวจอำเภอกันตัง พร้อมกับเล่าเรื่องนี้ให้เราฟัง ตอนนั้นน้ำตาไหล แต่มันไม่เห็น เพราะเราเป็นคนซ้อนท้าย ปล่อยให้น้ำตามันไหล ไปพร้อมกับความจริงที่เราต้องทนรับรู้ในประเทศสารขัณฑ์นี้ต่อไป
กับตู้ไปรษณีย์ และรหัสไปรษณีย์ 92110 อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง อยากรู้จัง ปัจจุบันจะยังมีคนเอาจดหมายมาหย่อนในตู้มั๊ยนะ อาจจะมี แตเราไม่เห็นก็ได้ ถ่ายรูปนี้มาเป็นที่ระลึก
วันรุ่งขึ้นเป็นวันสงกรานต์ วันที่ 13 หนุ่มสาวที่นี่เค้าเล่นสาดน้ำกันวันเดียวเท่านั้น วันเดียวจริง เล่นกันเต็มที่ น้ำผสมด้วยสีผลมอาหารนะ สีแสบๆ ส้มบ้าง เขียวบ้าง แล้วแต่จะพอหาซื้อได้ แบบแป้งหรือดินสอพองสีขาวๆ นี่ ไม่สะใจ มันล้างออกง่าย ต้องสีผสมอาหารเท่านั้น จึงจะสนุก มันจะได้ติดทนนานหน่อย เพราะเล่นกันแค่วันเดียวนี่นะ ไม่เหมือนบ้านอื่นเล่นกันตั้งแต่วันที่สิบได้มั๊ง อีกอย่างของคนบ้านหญิง คือ การกิน กินง่ายอยู่ง่าย เราขึ้นรถกระบะ ออกไปเล่นสาดน้ำกันเหมือนบ้านอื่น บนรถมีเด็กเล็กเด็กโต คนแก่แบบเรา น้าถั่ว แล้วลูกสาวน้าถั่ว ที่กำลังสาวสะพรั่ง น่าตาน่ารักน่าใคร่เข้าที ตอนไปเห็น มะฉุง พี่สาวแม่หญิง เตรียมข้าวไปด้วยหม้อนึง เราก็คิดว่า ดีจังเลยเตรียมตัวไปเผื่อเด็กๆ หิว เราเล่นน้ำกันจนสะใจแล้ว สุดท้ายที่แวะไปกันคือที่หาดปากเม็ง เลยแวะกินข้าวกัน เราเลยถามออกไปว่า มีข้าว แล้วไหนกับข้าว คิดว่าคงจะซื้อเอาแถวนั้น ไม่เลยค่ะ ผิดถนัด มะฉุงเตรียมมาแล้ว ปลากระป่องค่ะ สามกระป๋อง ตักข้าวแจกกัน ต่างคนต่างจ้วงกินข้าวกับปลากระป๋องกันใหญ่เลย คนกรุงแบบเราอึ้งไปสิคะ ไม่นึกว่าเค้าจะกินง่ายกันจริงๆ
อีกวัน เราได้มีโอกาสมาเยี่ยมบ้านชาวซาไก ที่ได้รับการแบ่งสรรพื้นที่สำหรับสร้างเป็นที่อยู่อาศัยแบบถาวร ไม่ต้องเร่ร่อนอีกต่อไป จะเข้าไปได้ต้องเดินผ่านสวนยางเข้าไปลึกพอสมควร จะเห็นว่า สภาพชีวิตความเป็นอยู่ตอนนี้ทันสมัยแล้ว ใส่เสื้อผ้าเหมือนชาวพื้นราบทั่วไป แต่ยังคงเอกลักษณ์ของชนกลุ่มน้อยในเรื่องลักษณะของสีผิว และภาษาที่ใช้ จะแตกต่างจากคนตรังอย่างสิ้นเชิง
ขากลับออกมาจากดูหมู่บ้านซาไก อย่างที่บอกไปว่า ต้องเดินผ่านสวนยาง มีคนชอบบอกว่าเรามันผู้หญิงไม่มียางอายกับเค้าเท่าไหร่ เลยอ้าปากรองน้ำยาง เผื่อว่าจะมียางอายกับเค้าขึ้นมาบ้าง แต่เปล่าประโยชน์ ไม่ได้ผล ยังเหมือนเดิม หน้าด้านดังเดิม
อีกวัน เราไม่ได้ไปไหน ไปช่วยหญิงกับแม่ขายของที่ร้าน ไปปัดกวาดเช็ดถูทำความสะอาดร้านกันใหญ่ จัดของเรียงของใหม่ มีคนมาถามซื้อของ เราฟังไม่รู้เรื่องเหลยนิ ต้องฟอร์มเป็นพม่าไปซะ ตกกลางวันพากันเดินไปซื้อชาเย็น กาแฟเย็น ร้านใกล้ๆ เจอเจ้าตัวนี้โดนล่ามกับโต๊ะพลาสติกด้วยเชือกแบบที่เห็น แถมโดนทายาม่วงที่ถู ขำดีว่ะ ป้าเจ้าของเค้าเล่าว่า มันซน แล้วชอบเกาหูจนขนร่วง เลยต้องเอายามาป้ายซะ ตอนป้าย ป้ายแค่หน่อยเดียว แต่มันเองแหละ ปาดยาซะเปรอะหน้าเปรอะตากันไป นี่มันจะรู้ตัวมั๊ยนะ ว่ามันขี้เหร่สุดๆ ไปเลย นังตัวเนี้ยะ แถมตอนแชะภาพ ทะลึ่งยกขาโชว์จิ๋มเล็ก พิสูจน์ให้ดูกันชัดๆ ไปเลยว่าชั้นอ่ะ ผู้หญิงนะฮ้า
ส่วนอีกอย่างที่คนกรุงแบบเราชอบมาก คืออาหารประจำถิ่นของที่นี่ คือ ก๋วยเตี๋ยวหมี่ซั่วไก่ หรือหมู สุดยอด ขอบอก หากินที่อื่นไม่ได้ ต้องมาที่นี่เท่านั้น ที่ตัวเมืองตรัง หรืออำเภอเมืองก็มีขายนะ แต่มันไม่ได้อรรถรส แบบที่ร้านที่กันตัง เรานั่งรอนานมาก คนขายจะทำทีละชาม จะมาสี่คนห้าคน จะสั่งใส่ถุงกี่ถุง ก็จะได้ทีละชาม ไก่ตุ๋น หมูตุ๋น ก็ตุ๋นกันเป็นชามๆ ไป ไม่ตุ๋นรวมกันหลายชาม ถ้าหิวจัด แนะนำไปกินร้านอื่น ไม่งั้นอาจโดดแทะหัวคนข้างๆ ได้ แต่ถึงจะรอนานมาก แต่รสชาดสุโค่ย หาที่อื่นเทียบไม่ได้
นี่ยังไม่รวมแกงส้มนะ น้ำแกงส้มเปล่าๆ ราดข้าว สะใจอย่าบอกใครเลย ไม่ต้องมีอะไร แค่ไข่เจียวอีกจาน ราดน้ำแกงส้มลงบนข้าว แปะไข่เจียวลงไปหน่อย ข้าวกี่หม้อก็ไม่เหลือ
แล้วอีกสถานที่นึง ที่เราไปตั้งสองครั้งเชียวนะ วนอุทยานบ่อน้ำร้อนกันตัง ขึ้นชื่อว่าบ่อน้ำร้อน ก็แน่นอนต้องมีที่ให้เราแช่น้ำร้อน สามารถหย่อนแช่ขาในบ่อกลางแจ้ง ซึ่งเป็นบ่อรวมได้ หรือจะใช้บริการแบบเป็นห้องส่วนตัว ที่นี่เค้าทำเป็นห้องส่วนตัวๆ เอาไว้ประมาณสิบห้อง ราคาห้องแช่น้ำ เราจำไม่ได้แล้วหรือว่าจะเป็นแบบแล้วแต่ใครจะบริจาคช่วยเหลือ ก็สุดที่จะจำนะ ขอโทษที จำไม่ได้จริงๆ แต่คร่าวๆ จำได้ลางๆ ว่าถูกมาก ห้องนึงจุคนได้ประมาณสิบคน ลักษณะห้อง จะมีบ่อกลมตรงกลาง มีที่ให้นั่งหย่อนขา หรือแช่ลงไปได้ทั้งตัว แล้วจะมีท่อน้ำร้อนกับน้ำเย็น เพื่อให้เราเปิดน้ำผสมกันได้ อุณหภูมิของน้ำร้อนน่าจะประมาณสี่สิบถึงห้าสิบองศาได้นะ เพราะขนาดเราเปิดน้ำเย็นผสมลงไป น้ำร้อนที่ได้ก็ยังร้อนมาก วันแรกที่เราไป ห้องเต็ม จึงกลับไปใหม่อีกที สิ่งที่ต้องเตรียมตัวไปก็คงเป็นพวกผ้าถุง ผ้าเช็ดตัวนะ ถ้าไปกันเองมันก็อายน้อยหน่อย จะแก้ผ้าอวดกันก็ไม่ใช่ปัญหาของเรา มันเป็นปัญหาของคนดูตะหาก
หลังจากแช่น้ำร้อนจนหนำใจแล้ว ที่นี่ยังมีบริการนวดท้าด้วย ราคาชั่วโมงละ 150 บาท เป็นชาวบ้านแถวนั้นแหละ เราเหนื่อยจากแช่น้ำแล้ว เลยมานอนให้เค้านวดเท้าซะหน่อย ระหว่างนอนนวด มองไปบนเพดานเห็นจิ้งจกมารุมกินโต๊ะแมลงกันบานเลย ลองนับดูสิว่ากี่ตัว แต่วันนั้นเรานับได้สิบเก้าตัว บางตัวหางกุดก็มี
ถัดมาอีกวัน ก็ถึงเวลาต้องเดินทางกลับแล้ว ขากลับ นิขับรถกระบะแบบมีแค็บของบ้านหญิงนั่นแหละกลับมาส่ง เรานั่งอัดกันมาในแค็บ ที่นิต้องขับมาส่งเพราะแม่จะต้องมาเอาของที่กรุงเทพฯ กลับไปขาย นิชอบขับรถ พอๆ กับชอบเพลินวานมาก จึงขอเป็นการส่วนตัวเลยว่า "ขอแวะ" ใครไม่แวะให้เดินทางล่วงหน้าไปก่อนเลย แล้วเราจะขัดคนขับได้มั๊ยล่ะ เราออกเดินทางจากกันตังประมาณเก้าโมงเช้า มาถึงเพลินวานประมาณสองทุ่มได้นะ คนเริ่มบางตา เราเองก็เริ่มตาหรี่ แต่ระหว่างทางสิ่งที่ประทับจมูกเรามาตลอด คือ ตดของจ๋า จ๋าเป็นนักตดขั้นเทพ ปล่อยมาตลอดทาง จนเราตอนแรกเหม็นนะ พอชักบ่อยเข้า เริ่มชิน จะกลายเป็นหอมไปแล้ว นี่เริ่มโหยหา ตดจ๋า จ๋าคะช่วยมาตดให้พี่ดมให้หายคิดถึงทีสิคะ.....อวกกกกกกกกก
กลับถึง กทม. เมืองแห่งความเจริญ ความแก่งแย่งสับสนวุ่นวาย ตอนประมาณเที่ยงคืนกว่าแล้ว เราแยกจากหญิง แม่ นิ จ๋า และพลอยตัวแสบ ที่ถนนรามคำแหง จุดเดิม จุดที่เราขึ้นรถทัวร์ไป จุดเริ่มและจุดส่งท้ายมาบรรจบ ณ จุดเดียวกัน ผิดกันที่ เราต้องขึ้นแทกซี่กลับบ้านคนเดียว แต่ครอบครัวหรรษา เข้าห้องพักของหญิงที่ซอยมหาดไทยพร้อมรอยยิ้ม และความอบอุ่นของคนในครอบครัวเดียวกัน
ทิ้งไว้ซึ่งความประทับใจของเรา ความประทับใจที่มีต่อคนกันตัง ความเอื้ออารีย์ ความเอาใจใส่ ความมีน้ำใจ ที่ไม่มีเหือดหาย เหมือนน้ำทะเลปากเม็งที่ล้นฝั่งตลอดเวลา ยังมีเรื่องราวที่เราเล่าข้ามไปอีกหลายอย่าง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะลืมเรื่องเหล่านั้น เราขอเก็บเรื่องราวเล็กๆ นั้นไว้ในความทรงจำที่จะอยู่ในสมองของเราตลอดไป.....คิดถึงกันตัง คิดถึงคนกันตัง คิดถึงร้านติ่มซำยามค่ำคืน คิดถึงภาพความน่ารักของคนที่เราฟังภาษาเค้าไม่รู้เรื่อง คิดถึงน้าถั่ว(เพื่อนถั่ว) และอีกหลายๆ คิดถึง คิดถึงมากมาย และตลอดไป
เด็กร้านมายคอมหน้าโรงเรียนประชาสาวๆโสดอ่ะ
ตอบลบ