วันนี้จะพาออกเดินทางไปจังหวัดใกล้กรุงเทพฯ ด้วยระยะทางประมาณร้อยกิโลได้นะ ขับรถถ้าไม่หลง ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงโดยประมาณ จุดหมายปลายทางคือ วัดโพธิ์เก้าต้น จังหวัดสิงห์บุรี การได้ไปไหว้พระสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่นับถือแล้ว งานนี้ยังมีจุดประสงค์หลักคือ จะไปบนบานศาลกล่าว ส่วนจะขอเรื่องอะไร แล้วการแก้บนจะแก้ด้วยอะไร เรื่องที่ขอจะสำเร็จหรือไม่ ติดตามอ่านได้ในการเดินทางครั้งนี้เลยจ้า
ขบวนเราหกคน หน้าสองหลังสี่ ผู้ใหญ่ห้า เด็กอีกหนึ่ง เขียนให้ดูเหมือนไปกันหลายคน จริงๆ แค่หกคนนั่นแหละ เดินทางออกจากกรุงเทพฯ ประมาณแปดโมงเช้า มุ่งหน้าสู่จังหวัดสิงห์บุรี ด้วยเส้นทางตามป้ายบางปะอินทร์ ผ่านอยุธยา เลี้ยวเข้าสิงห์บุรี ขับตรงมาตามถนนหมายเลข 3032 ก่อนจะถึงวัดโพธิ์เก้าต้น จะผ่านวัดพระนอนจักรสีห์จะผ่านไปเลยคงไม่ดี เอ้าแวะกันก่อน
วันที่เราไป องค์พระอยู่ระหว่างการปิดทองใหม่ทั้งองค์ จึงเห็นนั่งร้านตั้งระเกะระกะอยู่โดยรอบ แต่ถึงจะมีนั่งร้านตั้งอยู่ ก็ไม่ทำให้คลื่นศรัทธาของคนไทยลดน้อยลงเลย
บริเวณที่ทางวัดจัดไว้ให้เป็นบริเวณสำหรับกราบพระ มีงาช้างของสูงค่า ที่ท่านเจ้าอาวาสท่านได้สะสมไว้ ตั้งไว้ให้ประชาชนได้สักการะหลายคู่
ไม่ได้มีแต่พระนอนเท่านั้น พระปางยืนพุทธลักษณะต่างๆ ก็มีให้กราบไหว้ หรือปิดทองอีกหลายองค์
บางส่วนของพระพุทธรูป ที่เรียงราย โดยรอบองค์พระนอน บริเวณนี้ห้ามปิดทอง เผยให้เห็นเนื้อแท้ๆ ของพระพุทธรูป แสดงถึงความเก่าแก่ได้แม้ไม่มีความรู้เรื่องของเก่า ควรค่าแก่การสักการะ และอนุรักษ์อย่างยิ่ง
กับบางมุมที่ได้รับความสนใจจากคนที่เดินผ่าน เป็นมุมของสะสม ที่ท่านเจ้าอาวาสท่านได้เก็บไว้ และนำออกมาแสดงให้ประชาชนทั่วไปได้ชม มีเหรียญเก่า แบงค์เก่า เครื่องถ้วยชามเบญจรงค์ มุมนี้ถ้าใครรู้จัก หรือเคยได้ใช้แบงค์ หรือสตางค์ ที่แสดงไว้มากกว่าห้าแบบขึ้นไป บอกได้เลย อายุสี่สิบขึ้นแน่นอน ตัวเราก็คนนึงแล้ว
ชี้ชวนกันดู แบงค์นี้เราทัน ใบนั้นก็ทัน นี่ที่บ้านก็มี อันนี้ก็ด้วย ใบนี้เคยใช้ นี่แบงค์ห้าบาทหรอ เออ....แก่กันครบถ้วนยกแกงค์....ฮุฮุฮุ
ตรงทางเดินเข้าโบสถ์ จะมีพระสังกัจจายน์ ใบหน้ายิ้มแย้มแก้มกลม ให้ผู้รักการทำบุญหยอดเงินใส่สะดือ หรือจะใส่ในบาตรที่ตั้งไว้ก็ตามอัธยาศัย
ด้านนอก ทางวัดจัดให้เป็นบริเวณศึกษาวิถีชีวิตไทย จะนั่งรถไฟไปชมวัดใกล้เคียง หรือจะแค่เดินเที่ยวก็เข้าท่า บริเวณนี้มีวัว และควาย มาต้อนรับดุจญาตมิตร รอให้เราป้อนหญ้า เจ้าตัวนี้ดูท่าจะอายุมากแล้ว สังเกตจากเขา ยาวและโค้ง น่าจะหนักด้วยนะนั่น ส่วนคนที่กำลังป้อนหญ้าให้ควาย สองคนนั่น คนนึงอดทนเหมือนควาย อีกคนน่าอนุรักษ์ไว้เหมือนควายเช่นกัน ถ้าสองคนนั่นมาอ่าน คงปลื้มใจ สรรเสริญคนเขียนน่าดู
เอาถ่ายรูปให้แม่กะพ่อหน่อย ดูสิ ระหว่างควายกับพ่อ ใครจะถ่ายรูปขึ้นกว่ากัน ไม่ต้องตอบก็ได้ ภาพมันฟ้องทนโท่
ด้านนอกของวัดมีตลาดขายสินค้า พวกน้ำพริก ไข่เค็ม และอีกหลายอย่าง มีห้องน้ำสะอาดให้บริการด้วยนะ คนรักการซื้อของฝากทั้งหลาย สามารถเดินหาซื้อติดไม้ติดมือกันได้ ซื้อของกันแล้ว เดินทางต่อกันดีกว่า
ออกจากวัดพระนอน ตรงดิ่งมาที่วัดโพธิ์เก้าต้น วัดนี้สำคัญมากตรงที่เคยเป็นที่ตั้งของค่ายวีรชนบ้านบางระจัน ที่น้าแอ็ดร้องเป็นเพลงว่า
" บางระจัน บางระจัน บางระจัน มิอาจยืนอยู่ถึงวันเพ็ญเดือนสิบสอง" นับถึงวันนี้ก็หลายร้อยปีผ่านมาแล้ว แต่วัตถุประสงค์หลักของเราที่มาที่วัดนี้มิได้อยู่ที่ประวัติอันควรค่าแก่การจดจำนี้ บอกตั้งแต่ต้นแล้ว ว่าเรามาที่วัดนี้ทำไม อย่าช้าใย ไปทำตามความตั้งใจก่อน
พระอาจารย์ธรรมโชติ หรือหลวงปู่ธรรมโชติ ที่พึ่งของชาวบ้านบางระจัน ความศักดิ์สิทธิ์ของท่านมิได้สิ้นสุดไป ณ วันที่ค่ายบางระจันแตก แต่ยังคงความศักดิ์สิทธิ์มาจนถึงวันนี้ ที่วัดนี้ จะมีรูปหล่อของท่าน จากรูปที่เห็น องค์เล็กๆ ทางขวามือสุด และถ้าเดินถัดออกไปก็จะมีศาลของท่าน ที่สร้างขึ้นตามมาทีหลัง มีรูปเหมือนของท่านประดิษฐานอยู่ จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ในวัดแล้ว บอกเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า ถ้าจะมาขอ มาบน ขอให้กราบท่านที่องค์รูปหล่อนี้ อย่ารอช้า ดอกไม้ธูปเทียนด่วนจี๋
บรรจงจุด กราบ และตั้งจิตขอจากท่านกันตามความต้องการของแต่ละคน ใครใคร่ขอ ขอ ใครใคร่ไหว้อย่างเดียว ก็ไหว้ ไม่ว่ากัน
มีบทสวดตัวโต มองเห็นเด่นชัด ไม่ต้องเพ่ง ตั้งจิตอธิษฐานกันดีๆ จะได้ตามคำขอกันถ้วนหน้า แต่อย่างที่บอก ไม่ใช่ว่าจะขอจากท่านข้างเดียว ควรจะต้องมีบางอย่างมาทำให้ท่านด้วย หรือเรียกว่า แก้บนนั่นเอง
บ่อน้ำมนต์ หรือบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ตามประวัติว่า เมื่อครั้งที่ชาวบ้านในระแวกบางระจันอพยพหนีภัยสงครามมาอยู่กันในค่ายเป็นจำนวนมาก และกองกำลังชาวบ้านเหล่านั้น เช่น นายจันทร์ หนวดเขี้ยว นายทองเหม็น ซึ่งเป็นแนวหน้าต้อสู้ต้านทหารพม่า ซึ่งเข้าตีค่ายบางระจันหลายครั้ง ทำให้พระอาจารย์ธรรมโชติปลุกเสกน้ำมนต์ไม่เพียงพอกับปริมาณคน ท่านจึงได้ใช้บ่อน้ำนี้ทำเป็นน้ำมนต์ เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการ และที่ผ่านมาก็พบว่า น้ำในบ่อนี้ไม่เคยแห้ง อาจจะมีบางเดือนที่ปริมาณน้ำลดลงบ้าง
นี่จึงเป็นจุดที่ใครก็ตามที่มากราบขอสิ่งใดจากพระอาจารย์ธรรมโชติ จะทำการแก้บนด้วยการไปตักน้ำใส่ คุถัง หรือถังน้ำพลาสติกสองใบ มีคอนสำหรับวางบนบ่า และต้องตักให้เต็มถังทั้งสองใบด้วย จึงจะถือว่าแก้บนถูกต้อง ระยะทางในการหาบน้ำต่อเที่ยว จากบ่อด้านหลังใกล้ป่า จนเดินมาจนถึงบ่อศักดิ์สิทธิ์ ก็ตกประมาณสองร้อยเมตรกว่าๆ เดินไปเดินกลับตกห้าร้อยเมตรต่อเที่ยว ทั้งนี้การแก้บน อาจจะจ้างหาบน้ำก็ได้ มีน้องๆ หนุ่มๆ สาวๆ แถวนั้นรับจ้างหาบ อัตราการจ้างเราลืมถามมาว่าคิดเท่าไหร่ หรือจะหาบเองก็แล้วแต่ จำนวนในการหาบขึ้นอยู่กับว่า จะบอกกล่าวกับหลวงปู่ไว้อย่างไร และที่สำคัญ เมื่อแก้บนเสร็จแล้ว จะต้องมาลงทะเบียนที่สมุดที่ทางวัดจัดไว้ด้วย เพื่อเป็นการบอกแจ้งแก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า เราได้ทำตามที่บอกไว้เสร็จสิ้นแล้ว จะได้ไม่มีการมาตามทวงกันทีหลัง ประมาณนั้นนะ ฟังจากเจ้าหน้าที่ของทางวัด ที่พยายามประกาศให้คนที่มาขอ หรือมาแก้บนได้รับรู้กันทั่วๆ
ไม่ไกลจากองค์หลวงปู่ธรรมโชติ จะมีศาลดวงวิญญาณของบรรพชนผู้กล้า ที่สละชีพเพื่อปกปักษ์รักษาแผ่นดิน มาถึงตรงนี้ ทำเอาเราสะท้อนหัวใจ กว่าเมืองไทยจะผ่านร้อน ผ่านหนาวมาจนถึงวันนี้ ต้องมีผู้ที่ต้องสละชีพเพื่อปกป้องเอาไว้กี่ชีวิตกันแล้วนะ แล้วพวกเราล่ะ ทำอะไรกันอยู่
ติดกับศาลบรรพชน มีรูปปั้นควายที่ใช้เป็นพาหนะในการออกรบ วัดก็ให้ความสำคัญมาก มากพอที่เราสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องแสดงความเคารพ โดยสามารถบูชาด้วยหญ้า ที่มีให้บริการโดยบริจาคเงินตามกำลังศรัทธา ในบริเวณใกล้กันนั่นเอง
พากันเดินข้ามไปฝั่งตรงกันข้ามกับวัด เพื่อสักการะอนุเสาวรีย์วีรชน ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงมาเปิด หลายปีมาแล้ว
อนุเสารีย์ตั้งเด่นเป็นสง่า น่าเคารพมาก ยิ่งยืนมองสีหน้าของวีรชนแต่ละท่านนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เรารู้สึก และรับรู้ได้ถึงความเสียสละของท่าน ที่เพียงแค่พวกเรามากราบไหว้ คงไม่เพียงพอ หรือได้เศษเสี้ยวของความเสียสละของท่านเหล่านั้นเลย
ผ่านความซาบซึ้งปนความรู้สึกยิ่งรักประเทศไทยมากขึ้นอย่างบอกไม่ถูก เราออกเดินทางกันมาต่อที่วัดพิกุลทอง ซึ่งระหว่างทางที่ขับรถเข้ามาจะมองเห็นพระสีทององค์ใหญ่ได้แต่ไกล แต่อาจจะไม่ใหญ่เท่าองค์พระที่วัดม่วง ของอำเภอวิเศษชัยชาญ อ่างทอง แต่องค์นี้ก็นับว่าใหญ่ไม่แพ้กันเลย
เงยหน้าขึ้นมองฟ้า ก็ให้ตะลึงกับภาพที่เห็น พระอาทิตย์ทรงกลด ทาบทับองค์พระ ทำให้องค์พระดูขลัง และสวยงามมาก มีบางคนเคยบอกไว้ว่า ถ้าเห็นพระอาทิตย์ทรงกลดให้อธิษฐานขอ จะได้สมความปรารถนา เราก็ขอนะ แต่ขอความกล้า ที่จะคิด ทำ และพูดแต่ในสิ่งดีๆ แล้วนี่มากราบพระด้วยนะ คำอธิษฐานยิ่งส่งผลเร็วขึ้นอีก จะเป็นคนดีแล้วเรา
รอบวัดมีสัตว์ปูนปั้น ตัวนั้นตัวนี้ แต่ตัวนี้พิเศษ ที่เห็นนั่นคงพอดูออกว่าเป็นเสือ ช่างทาสี เค้าจะตั้งใจ วาดลายเสือแบบนี้หรือเปล่า หรือจะเพราะวาดลายเสือไม่เป็น เอาเลย วาดรูปดาวมันซะเลย ได้เสือดาวแล้วนั่นไง ดูดิ ดาวเต็มเลย มีสี่ตัวด้วยนะ ตัวหน้านี่ ดาวน์น้อยผ่อนนาน ถัดไป ดาวน์แล้วไม่ผ่อน ตัวสุดท้ายสีดำด้วยนะ
ติดแบลกลิสต์กันเลยก็แล้วกัน
คิงคองมั๊ยนะตัวนี้ แต่ที่รู้ ตัวผู้ชัวร์ หลังจากถ่ายรูปนี้เสร็จ เห็นทางวัดเอาแอลกอฮอล์มาราดฆ่าเชื้อกันเป็นการใหญ่ แถมมีได้ยินเสียงบ่นลอยมาอีกว่า ของเค้าสะอาดดีๆ มากอดจูบลูบคลำซะหมองหมดเลย ของวัดก็ไม่เว้น
แน่ะดู ว่าแล้วยังไม่หยุด มาอีกละ ต้องเอาแอลกอฮอล์ไปเช็ดอีกละ ไอ้ตัวนี้มาหนักเลย เอาสีผิวมาตกใส่คิงคองอีก ดูสิ ดำเลย
เหนื่อยเหน็ดจากการถ่ายรูป ก็แวะมาให้อาหารปลากัน ซื้อขนมปังวัดมากปอนด์นึง แบ่งกันหกคน ค่อยๆ โยนให้ปลา โยนแรงไม่ได้นะ ขนมปังมันจะปลิวหายไปหมด ไม่ตกถึงน้ำ เปล่าน่า อันนี้ล้อเล่น ใช่ที่ไหน ปอนด์นึง แบ่งกันกินครึ่งนึงก่อน ที่เหลือค่อยให้ปลาสิ อิอิอิ
หลังวัดบริเวณที่เป็นที่พักสงฆ์ จะมีตลาดร้านค้าขายสินค้าของฝากอีกแล้ว แต่ตรงนี้จะเด่นก็เรื่องปลาร้า มีหลายแบบ ทั้งปลาร้าเป็นตัวๆ หรือจะปลาร้าสับดิบ หรือผัดสุก ก็มีให้เลือก แต่มีอันนึงที่เราแนะนำนะ ถ้ามีโอกาสผ่านไปคือ ห่อหมก ห่อละยี่สิบบาท จะมาขายวันหยุดเสาร์อาทิตย์ อร่อยมาก เครื่องแกงหอม เผ็ดพอดี กินกับข้าวร้อนๆ หยดน้ำปลาหอมๆ ลงเล็กน้อย อร่อยที่สุด เขียนไปนี่ ยังน้ำลายไหลหยดลงคีย์บอร์ด
เอาละ วันนี้พอเท่านี้ เราเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ ด้วยเส้นทางเดิม มาแวะซื้อกุ้ง หอยนางรม และหอยแครงตัวใหญ่มาก เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู นานๆ จะได้เจอหอยแครงไซค์นี้ หายากแล้ว ตัวโตขนาดนี้ ที่ที่เราแวะซื้อของสดคือ ที่ตลาดกลางการเกษตร หลายคนที่มาอยุธยา ขากลับส่วนใหญ่จะแวะที่นี่ มีของสดๆ ขายเยอะมาก จะนั่งกิน หรือจะซื้อกลับก็ได้ มีให้เลือกหลายราคา ตามกำลังทรัพย์ในกระเป๋า เมื่อก่อนไม่นานมานี่เอง มีเงินสองร้อยซื้อกุ้งตัวใหญ่ๆ ได้ แต่ตอนนี้ สองร้อยซื้อได้แค่ลูกกุ้ง เอามาเผาต้องคอยระวังกุ้งลอดตะแกรงตกลงเตา เอาน่า อย่างน้อยก็ได้กินกุ้งเผากะเค้าละกัน
ส่วนเรื่องที่เราบนขอหลวงปู่ จะสำเร็จหรือไม่ ถ้าเราต้องกลับมาแก้บน แสดงว่าสำเร็จใช่มั๊ย ยังไม่รู้ผลเลย ถ้าอย่างนั้นขอให้ติดตามเราต่อไปนะ.....วันนี้พอแล้ว พอจริงๆ พอเหอะ... แน่ะ...บอกว่าพอไง จะตามมาอ่านทำไม ไป...ไปได้แล้ว....ยังอีก เอ๊ะ!!! ยังไง ดื้อนะเนี่ย ... พูดไม่ฟังเลย...ต้องให้ทำยังไงนะ
จับจูบซะดีมะ......
ขอบคุณที่ตามอ่านค่ะ...รักอีกครั้ง...
วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
ไอ้ลูกชาย "ไข่ย้อย"(My ugly cat)
คุณมีสัตว์เลี้ยงที่บ้านมั๊ยคะ คำตอบจะมีสองอย่างคือ มีกับไม่มี สำหรับคนที่ตอบว่าไม่มี ไม่ใช่ไม่ขอบสัตว์เลี้ยง แต่เนื้อที่ที่บ้านอาจไม่อำนวย หรือติดปัญหาสุขภาพ แพ้ขน หรือเหตุผลนานับประการ แต่สำหรับคำตอบว่ามี ถ้าถามต่อว่า เลี้ยงอะไร บางคนก็จะเลี้ยงหมาเพราะมันซื่อสัตย์ วิ่งออกมาต้อนหน้าต้อนหลังทุกวัน บางคนเลี้ยงปลาเพราะชอบดูตอนที่ปลาสวยงามเหล่านั้นว่ายไปมา เหมือนภาพวาดแต่เคลื่อนไหวได้ บางคนนั่งดูปลาว่ายน้ำได้ไม่รู้เบื่อ บางคนชอบแมว เพราะแมวมักจะมีความเป็นตัวเองค่อนข้างสูง และไม่ต้องดูแลเอาใจใส่อะไรมากนัก หรือนกเพราะชอบฟังเสียงร้องใสๆ ของนกแต่ละชนิด และสัตว์อีกหลายชนิดที่สามารถเลี้ยงได้ในบ้าน หากบ้านคุณมีสถานที่อำนวยสำหรับสัตว์เลี้ยงชนิดนั้น แต่สำหรับเรา เราชอบสัตว์ทุกชนิด ย้ำนะคะทุกชนิดจริงๆ เมื่อก่อนมีความสุขกับการเล่นกับสัตว์เลี้ยงของเพื่อนข้างบ้าน ทั้งหมา แมว ปลา เจออะไรเล่นด้วยหมด เพราะเราต้องทำงานประจำ และกลับบ้านไม่เป็นเวลา รวมถึงต้องไปค้างอ้างแรมที่อื่นเป็นประจำ ทำให้ไม่มีเวลา ไม่สามารถเลี้ยงสัตว์ใดๆ ได้ แต่แล้ววันนึงโอกาสก็เข้ามา เราได้งานที่สามารถนั่งทำงานที่บ้านได้ ทำให้มีเวลาที่จะดูแล และเอาใจใส่สัตว์เลี้ยงได้ เอาหล่ะ คิดสิ ที่นี้ต้องมาคิดแล้ว เราจะเลี้ยงอะไรดีล่ะ
หมาเหรอ มันต้องใช้พิ้นที่มากนะ เราอยู่ห้องคอนโด ถึงจะพอมีพื้นที่ให้วิ่ง แต่คงไม่เหมาะ ไหนมันจะเห่า หรืออาจออกไปกัดใครอีก ชอบหมามากที่สุดนะ แต่ต้องตัดตัวเลือกนี้ออกไป
ปลาเหรอ เราไม่ชอบตอนที่ต้องล้างอ่างปลาสิ สงสัยถ้าเลี้ยงคงมองปลาไม่เห็นเพราะตะไคร่เกาะตู้จนมิด เคยเลี้ยงนะ เวลามันตายเศร้าใจบอกไม่ถูก แล้วปลาทำไมมันตายง่ายจัง นี่เราต้องเสียใจซ้ำซากแน่ ถ้าเลี้ยงปลา ตัวเลือกนี้ ก็ต้องขอบาย
นกล่ะ ดีนะ อยู่แต่ในกรง ฟังเสียงร้องจิ๊บๆ ถึงเวลาก็แค่ให้อาหาร นานๆ ทำความสะอาดกรงซักครั้งนึง แต่บังเอิญเหลือเกิน เราชอบนกที่มันบินอยู่บนฟ้ามากกว่าสิ ชอบแหงนมองนกที่มันบินอยู่ลิบๆ ถ้าเลี้ยง สุดท้าย เราคงซื้อมาแล้วปล่อยเค้าไป แน่นอนตัวเลือกนี้จำต้องตัดอีกเช่นกัน
มาถึงแมว เออ...เข้าท่า มันไม่ติดเรา มันติดบ้าน ไม่ออกไปกัดใคร ตัวผู้จะกัดก็แต่แมวด้วยกัน ถ้าถึงช่วงผสมพันธุ์ วันๆ เอาแต่นอน ไม่สุงสิงกะใคร แล้วเลี้ยงในพื้นที่จำกัดแบบบ้านเราได้ นานๆ ปล่อยออกไปเริงร่าได้บ้าง ถ้ามันกลับบ้านถูกนะ ตัวเลือกนี้แหละ เหมาะกับเราที่สุดแล้ว ณ ตอนนี้ เราจึงตัดสินใจเลี้ยงแมว หง่าววววววว แง้วววว แว้วววว เสียงนี้ก้องเข้าหูมาเลย
อ่ะ พอตัดสินใจได้แล้วว่าจะเลี้ยงแมว จะไปเอาจากไหนดีนะ ซื้อเลยมั๊ย มีขายเยอะแยะ ที่วัดดีกว่าฟรีด้วย หรือที่สวนจตุจักร วันเสาร์อาทิตย์จะมีคนใจดีจากโครงการปันน้ำใจให้แมวจร จะรวบรวมแมวหาบ้านมาให้บริการแก่คนใจดีที่สามารถรับเลี้ยงแมวเหล่านั้นได้ นี่ก็ฟรีอีกเช่นกัน แต่ก่อนจะรับไปเลี้ยงต้องกรอกเอกสารบ้างนะ หรือจะไปเดินเตร็ดเตร่แถวไหน เจอปุ๊บก็เก็บมาเลี้ยงเลย ไม่หล่ะ
แหล่งหาแมวน่ารักซักตัว ที่ว่ามาเราต้องออกไปหา ขี้เกียจไปจังเลย เราเลยเลือกที่จะค้นหาเอาใน Social Network นี่แหละ เต็มเลย อยากได้สีไหน พันธุ์อะไร มีคนใจดีเอามาลงไว้ แจกแจงรายละเอียด พร้อมรูปถ่ายชัดเจน เห็นแม้กระทั่งขี้มูกขี้ตากรัง รอให้คนใจดี และพร้อมที่จะเลี้ยง มาเลือก และรับไปเลี้ยง หรือหากไม่สะดวกมารับเอง ก็มีบริการจัดส่งให้ถึงบ้านอีกตะหาก แถมฟรีอีกด้วยนะ นี่แหละแบบนี้ถึงจะเหมาะกับคนขี้เกียจแบบเรา
และแล้ววันนึงขณะที่เรานั่งทำงานเงียบๆ ที่บ้าน เราก็แวะเข้าไปที่เวบพันธุ์ทิพย์ หน้าโครงการปันน้ำใจให้แมวจร จึงลองมองหาเจ้าแมวตัวที่เราชอบ และดูแล้วมันน่าจะชอบเรา ค้นไปค้นมา ก็มาเจอที่ Facebook หน้าชุมชนคนรักแมว มีคนใจดีเอารูปแมวหาบ้านมาลงไว้ แต่ละตัวหน้าตาขี้เหร่สุดๆ แต่เราคิดว่า นี่แหละใช่เลย ถ้าขี้เหร่มันก็จะไม่มีใครมารับไปเลี้ยง เราเลยตั้งใจว่าจะพยายามเลือกตัวที่ขี้เหร่สุดๆ ตอนนั้นคนใจดีเค้าตั้งชื่อเพื่อให้เค้าจำได้ว่ารุ่น "BB1" มีพี่น้องร่วมคลอกเดียวกันก็ตั้งชื่อต่อๆ กันไปว่า BB2 ,BB3 เป็นงัยทันสมัยซะ เราปล่อยให้คนอื่นเค้าเลือกไปก่อนเลย รอจนแน่ใจแล้วว่าไอ้ตัวนี้แหละ ไม่มีใครเอาแน่นอน เราเลยเลือกไอ้ BB1 นี่แหละ ตัวผู้ ขี้เหร่สุดบรรยาย ผอมกะหร่อง หางกุดสนิท เราติดต่อคนใจดี นัดกันเอาของมาส่ง อุ๊ย....ลักษณะเหมือนส่งยาบ้า แต่สุดท้ายต้องเลื่อนออกไป เพราะ "มันป่วย" ฮิ้ว....เป็นงัยเราเลือกเก่งใช่มะ ยังไม่ทันไรเลย ป่วยซะแล้ว
จากกำหนดที่เรานัดกันกับคนใจดี ต้องเลื่อนออกไปอีกอาทิตย์นึง เพราะมันต้องโดนฉีดยา เนื่องจากเป็นหวัด ขี้มูกยืด และจามตลอดเวลา เอาหล่ะถึงตอนนี้มันก็ยังไม่หายดีเท่าไหร่ แต่เรายินดีรับมาดูแลต่อได้ โดยยังคงต้องป้อนยาตามเวลา เอาวะเป็นไงเป็นกัน มาตายที่บ้านเรานี่แหละวะ
ฮิ้ว......จะมีแมวเป็นของตัวเองแล้ว ตื่นเต้น ตื่นเต้น ตื่นเต้น เราไปรับมันที่เทคโนลาดกระบัง มาพร้อมตะกร้าไปโต ใส่เสื้อสีชมพูตัวบะเร่อ คือเสื้อใหญ่กว่าตัวเยอะมาก แว่บแรกที่เห็น ทำไม่มันขี้เหร่แบบนี้วะ หามุมน่ารักไม่เจอจริงๆ สงสัยไม่รอดเจ็ดวันแน่นอน ฟันธง ตายแน่.....
รับขึ้นรถมาพร้อมตะกร้า มันก็สำแดงด้วยการฮัดชิ้วมาตลอดทาง แถมขี้มูกเขียวอื๋อที่กระเด็นออกมาเป็นระยะ ในตะกร้ามีผ้าขนหนูสีเคยขาวมาด้วยผืนนึง แต่งแต้มด้วยรอยขี้มูกแห้งเป็นหย่อมๆ มีอาหารเม็ดมาด้วยนะ ถุงย่อมๆ สงสัยเค้าคงกลัวเราจะปล่อยให้มันอดแน่ๆ เค้ารู้ได้ยังไงนะ แต่ยังสงสัยจนถึงวันนี้ ว่ามันยี่ห้ออะไรหว่า
มาถึงบ้าน เอามันออกมาจากตะกร้า มาดูรูปมันวันแรกที่บ้านเรากัน
เป็นงัยผอมแบบที่บอกมั๊ย แล้วดูนั่นนะ เสื้อสีชมพูตัวใหญ่ต้องใช้เข็มกลัดมากลัดไว้ เพราะเสื้อมันหล่นลงมาคลุมตูด มันป่วย เลยนอนแบบกับที่นอน ทีนี้มาคิดต่อจะตั้งชื่อมันว่าอะไรดีนะ จะเรียก BB1 มันเข้ากับมันซะที่ไหน ดูหน้ามันสิ เออ...มันตัวผู้ ตัวผู้ก็ต้องมีไข่สิ แล้วแถมขี้มูกย้อยยืดมาแบบนี้ เลยเอามารวมกันซะ "ไอ้ไข่" ไม่ใช่ไข่เฉยๆ ด้วยนะ "ไข่ย้อย" ด้วย
ได้เวลาป้อนยา เลยต้องจับห่อแบบนี้ ตอนนั้นมันป่วย หมดแรงดิ้น จะทำอะไรก็ยอมหมดแหละ แล้วตัวมันหน่อยเดียว ห่อง่าย ลองจับมันมาห่อตอนนี้สิ สงสัยโดนมันกัดแขนแหว่ง
ดูหน้ากันชัดๆ เป็นไง ขี้เหร่ได้ใจจริงๆ นั่งซึมๆ ไม่สดใส นี่พยายามทำหน้าสดชื่นแล้วนะ
กับห้องน้ำของมันนั่นแหละ อันใหม่ เลยลงไปนอนเกลือกลิ้งเล่น ดำผุดดำว่ายในทราย แต่มันจะทำแบบนี้ตอนเปลี่ยนทรายใหม่ๆ เท่านั้นนะ ถ้าทรายใช้แล้ว ไม่ทำแบบนี้
เวลาผ่านไปเดือนนึง เออ มันหาย ไม่ตาย มันเลือกที่จะไม่ตาย มันเลือกที่จะอยู่กับเรา......
นับจากวันนั้นถึงวันนี้ มันก็สร้างวีรกรรมกับเรานับไม่ถ้วน ไล่ตั้งแต่ ไปจับแมลงสาบกิน แล้วอวกบนผ้า ผ้าสะอาดด้วยนะ เป็นกองๆ ให้เก็บ เอางานสำคัญมากัดเล่น(อันนี้บ่อยมากที่สุด) เอาทิชชู่มากัดเล่นซะกระจุยกระจายรอบบ้าน ไปตะกุยยกทรงจากในตะกร้าเอามากัดเล่น กัดต้นไม้ในบ้านเท่าที่ตีนมันจะเอื้อมเหนี่ยวลงมากัดได้ เอาตีนไปแกว่งน้ำในชักโครกเล่น เปิดประตูบ้านเป็นไม่ได้จะต้องวิ่งพรวดออกไป เสร็จแล้วกลับมาไม่ถูก หลงไปเลย ต้องให้ออกไปตามทุกครั้ง หมาไม่รู้จัก แมวก็ไม่รู้จัก ท้าต่อยได้ทุกตัว ปีนขึ้นโต๊ะ ไปเขี่ยเอาทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะให้มันหล่นลงบนพื้น หาอะไรไม่เจอ ไปดูเลย อยู่ใต้โซฟา กับเราชอบกัด กัดแรงๆ แขนมีแต่รอยกัด แต่กับคนอื่นไปอ้อนเค้า พันแข็งพันขา กลิ้งไปกลิ้งมา ทำท่าน่ารักสุดๆ ตดเหม็นมาก บางวันไม่รู้จะรีบไปไหน ขี้เสร็จไม่ยอมกลบ เปิดประตูเข้าบ้านมาที แทบผงะ รู้สึกเหมือนกลิ่นโดดถีบหน้า ถ้าวันไหนเรานอนตื่นสาย จะโดนมันกระโดดมาเหยียบอก แล้วเอาตีนมันมาแตะที่หน้า บางทีตีนนั้นก็มาพร้อมกลิ่นอึ แล้วใครจะไม่ตื่น แต่ถ้าไม้นี้ไม่ได้ผล มันจะนอนทับอกเลย เอาให้หายใจไม่ออกกันไปข้างนึง
ตอนนั้น กับตอนนี้ หลายคนถึงได้บอกไว้ว่าอยากให้แมวตัวเองกลับไปเหมือนตอนเด็กๆ ถ้าย้อนเวลาได้ ดูหน้ามันสิ เคยน่ารัก กับโคตรกวนตีน
โชว์กันเต็มๆ ไปเลย "ไข่" กับหางกุดๆ สังเกตที่เท้าหลังขวา จะมีสีแต้มน้ำตาลเป็นรูปหัวใจคว่ำ
ไม่รู้เสื้อหดหรือเปล่า ตึงเป๊ะเลย เราซื้อให้ใหม่แล้วนะ แต่ยังเก็บเสื้อตัวนี้ไว้อยู่เลย เดี๋ยววันไหนจะจับเอามาใส่ให้มันใหม่
ตัวอย่างความซน แมวของใครอีกหลายคนก็คงเป็นแบบนี้ เล่นถุงพลาสติก แล้วหัวเข้าไปติดที่ตรงหูของถุง
แล้วแบบนี้หล่ะ เข้าไปนอนในถุงมันเลย เราก็เลยจับมันใส่ถุง แล้วห้อยไว้ซักพัก จะได้หายซ่า
กูละกลุ้มจริงๆ ที่ต้องมาอยู่บ้านนี้
กิจกรรมที่คุณไข่ขอบทำทุกวัน คือมาตะกุยขา เพื่อให้เราอุ้มมันขึ้นมานั่งบนบ่า จะนั่งอยู่แบบนี้จนกว่าเราจะจับมันลง ไม่โดดลงเอง เมื่อก่อนตัวเล็กทำแบบนี้ก็สนุกดี แต่ตอนนี้หนักกว่าสี่กิโล ทำแบบนี้บ่าถึงกับทรุด
กะละมังใส่ตุ๊กตารอประกอบ คุณชายเธอก็ลงไปนอนขดๆ เบียดกับตุ๊กตา ตอนแรกก็นอนเบียด ซักพัก เขี่ยตุ๊กตาออกซะ หรือไม่ก็กัดเล่น ตุ๊กตาเสร็จมันไปหลายตัวแล้ว มันคงนึกว่าเราเย็บให้มัน
ณ วันนั้น เมื่อวันยังเยาว์ เก้าอี้ตัวใหญ่
ณ วันนี้ เมื่อวันเป็นหนุ่มเต็มตัว เก้าอี้ตัวเก่ากลับเล็กลง
นับถึงวันนี้ ไข่ย้อยมาอยู่กับเราประมาณแปดเก้าเดือนได้แล้ว แต่ละวันไข่ย้อยจะมีสิ่งที่ทำให้เราปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน หางานให้เราทำ มีเรื่องให้ต้องไล่ตีกันทุกวัน บางครั้งโดนตีไปไม่ถึงนาที หันมาอีกที มันก็ทำเหมือนเดิม เราคิดไม่ออกว่า มันเคยทำความดีอะไรให้เราประทับใจบ้างนะ นั่งเขียนไปนี่ ก็พยายามนึก แต่นึกไม่ออกจริงๆ แต่อย่างนึงที่เรารู้สึกได้ คือ ทุกสายตาที่มันมองเรา ไม่เคยมีสายตาของความเกลียดชัง หรือสายตาแบบดูถูกเหยียดหยาม ขนาดโดนตีไปเมื่อกี๊ ตรงนี้เองที่ทำให้เรารู้สึกว่า เรารักมันโดยไม่รู้ตัว และมันคงเป็นความรักที่เราเองก็ไม่เคยมีให้ใครมาก่อน เป็นความรักที่ไม่ต้องการการตอบแทน เป็นความรักที่มันมาพร้อมกับความว่าง ว่างจากการความหึงหวง ว่างจากความเป็นห่วง
การเลี้ยงสัตว์ให้อะไรกับเรามากกว่าเป็นเพียงแค่สัตว์เลี้ยง มันสอนให้เราอดทน ลดละจากความโกรธ แต่ให้มองมันด้วยใจที่เต็มไปด้วยความเมตตา เพราะโกรธไปก็เท่านั้น มันไม่รู้เรื่อง ถ้าเราโกรธก็แสดงว่าจิตใจเราต่ำกว่าสัตว์นั่นเอง นั่นคือสิ่งที่ไข่ย้อยมันสอนเราทุกวัน
ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อน ขอบคุณที่สั่งสอนให้เรามีความอดทนเพิ่มมากขึ้น ขอบคุณสำหรับทุกความซนที่คุณก่อ ขอบคุณที่คุณเลือกจะอยู่กับเรา ขอบคุณมากๆ ขอบคุณจริงๆ..........
หมาเหรอ มันต้องใช้พิ้นที่มากนะ เราอยู่ห้องคอนโด ถึงจะพอมีพื้นที่ให้วิ่ง แต่คงไม่เหมาะ ไหนมันจะเห่า หรืออาจออกไปกัดใครอีก ชอบหมามากที่สุดนะ แต่ต้องตัดตัวเลือกนี้ออกไป
ปลาเหรอ เราไม่ชอบตอนที่ต้องล้างอ่างปลาสิ สงสัยถ้าเลี้ยงคงมองปลาไม่เห็นเพราะตะไคร่เกาะตู้จนมิด เคยเลี้ยงนะ เวลามันตายเศร้าใจบอกไม่ถูก แล้วปลาทำไมมันตายง่ายจัง นี่เราต้องเสียใจซ้ำซากแน่ ถ้าเลี้ยงปลา ตัวเลือกนี้ ก็ต้องขอบาย
นกล่ะ ดีนะ อยู่แต่ในกรง ฟังเสียงร้องจิ๊บๆ ถึงเวลาก็แค่ให้อาหาร นานๆ ทำความสะอาดกรงซักครั้งนึง แต่บังเอิญเหลือเกิน เราชอบนกที่มันบินอยู่บนฟ้ามากกว่าสิ ชอบแหงนมองนกที่มันบินอยู่ลิบๆ ถ้าเลี้ยง สุดท้าย เราคงซื้อมาแล้วปล่อยเค้าไป แน่นอนตัวเลือกนี้จำต้องตัดอีกเช่นกัน
มาถึงแมว เออ...เข้าท่า มันไม่ติดเรา มันติดบ้าน ไม่ออกไปกัดใคร ตัวผู้จะกัดก็แต่แมวด้วยกัน ถ้าถึงช่วงผสมพันธุ์ วันๆ เอาแต่นอน ไม่สุงสิงกะใคร แล้วเลี้ยงในพื้นที่จำกัดแบบบ้านเราได้ นานๆ ปล่อยออกไปเริงร่าได้บ้าง ถ้ามันกลับบ้านถูกนะ ตัวเลือกนี้แหละ เหมาะกับเราที่สุดแล้ว ณ ตอนนี้ เราจึงตัดสินใจเลี้ยงแมว หง่าววววววว แง้วววว แว้วววว เสียงนี้ก้องเข้าหูมาเลย
อ่ะ พอตัดสินใจได้แล้วว่าจะเลี้ยงแมว จะไปเอาจากไหนดีนะ ซื้อเลยมั๊ย มีขายเยอะแยะ ที่วัดดีกว่าฟรีด้วย หรือที่สวนจตุจักร วันเสาร์อาทิตย์จะมีคนใจดีจากโครงการปันน้ำใจให้แมวจร จะรวบรวมแมวหาบ้านมาให้บริการแก่คนใจดีที่สามารถรับเลี้ยงแมวเหล่านั้นได้ นี่ก็ฟรีอีกเช่นกัน แต่ก่อนจะรับไปเลี้ยงต้องกรอกเอกสารบ้างนะ หรือจะไปเดินเตร็ดเตร่แถวไหน เจอปุ๊บก็เก็บมาเลี้ยงเลย ไม่หล่ะ
แหล่งหาแมวน่ารักซักตัว ที่ว่ามาเราต้องออกไปหา ขี้เกียจไปจังเลย เราเลยเลือกที่จะค้นหาเอาใน Social Network นี่แหละ เต็มเลย อยากได้สีไหน พันธุ์อะไร มีคนใจดีเอามาลงไว้ แจกแจงรายละเอียด พร้อมรูปถ่ายชัดเจน เห็นแม้กระทั่งขี้มูกขี้ตากรัง รอให้คนใจดี และพร้อมที่จะเลี้ยง มาเลือก และรับไปเลี้ยง หรือหากไม่สะดวกมารับเอง ก็มีบริการจัดส่งให้ถึงบ้านอีกตะหาก แถมฟรีอีกด้วยนะ นี่แหละแบบนี้ถึงจะเหมาะกับคนขี้เกียจแบบเรา
และแล้ววันนึงขณะที่เรานั่งทำงานเงียบๆ ที่บ้าน เราก็แวะเข้าไปที่เวบพันธุ์ทิพย์ หน้าโครงการปันน้ำใจให้แมวจร จึงลองมองหาเจ้าแมวตัวที่เราชอบ และดูแล้วมันน่าจะชอบเรา ค้นไปค้นมา ก็มาเจอที่ Facebook หน้าชุมชนคนรักแมว มีคนใจดีเอารูปแมวหาบ้านมาลงไว้ แต่ละตัวหน้าตาขี้เหร่สุดๆ แต่เราคิดว่า นี่แหละใช่เลย ถ้าขี้เหร่มันก็จะไม่มีใครมารับไปเลี้ยง เราเลยตั้งใจว่าจะพยายามเลือกตัวที่ขี้เหร่สุดๆ ตอนนั้นคนใจดีเค้าตั้งชื่อเพื่อให้เค้าจำได้ว่ารุ่น "BB1" มีพี่น้องร่วมคลอกเดียวกันก็ตั้งชื่อต่อๆ กันไปว่า BB2 ,BB3 เป็นงัยทันสมัยซะ เราปล่อยให้คนอื่นเค้าเลือกไปก่อนเลย รอจนแน่ใจแล้วว่าไอ้ตัวนี้แหละ ไม่มีใครเอาแน่นอน เราเลยเลือกไอ้ BB1 นี่แหละ ตัวผู้ ขี้เหร่สุดบรรยาย ผอมกะหร่อง หางกุดสนิท เราติดต่อคนใจดี นัดกันเอาของมาส่ง อุ๊ย....ลักษณะเหมือนส่งยาบ้า แต่สุดท้ายต้องเลื่อนออกไป เพราะ "มันป่วย" ฮิ้ว....เป็นงัยเราเลือกเก่งใช่มะ ยังไม่ทันไรเลย ป่วยซะแล้ว
จากกำหนดที่เรานัดกันกับคนใจดี ต้องเลื่อนออกไปอีกอาทิตย์นึง เพราะมันต้องโดนฉีดยา เนื่องจากเป็นหวัด ขี้มูกยืด และจามตลอดเวลา เอาหล่ะถึงตอนนี้มันก็ยังไม่หายดีเท่าไหร่ แต่เรายินดีรับมาดูแลต่อได้ โดยยังคงต้องป้อนยาตามเวลา เอาวะเป็นไงเป็นกัน มาตายที่บ้านเรานี่แหละวะ
ฮิ้ว......จะมีแมวเป็นของตัวเองแล้ว ตื่นเต้น ตื่นเต้น ตื่นเต้น เราไปรับมันที่เทคโนลาดกระบัง มาพร้อมตะกร้าไปโต ใส่เสื้อสีชมพูตัวบะเร่อ คือเสื้อใหญ่กว่าตัวเยอะมาก แว่บแรกที่เห็น ทำไม่มันขี้เหร่แบบนี้วะ หามุมน่ารักไม่เจอจริงๆ สงสัยไม่รอดเจ็ดวันแน่นอน ฟันธง ตายแน่.....
รับขึ้นรถมาพร้อมตะกร้า มันก็สำแดงด้วยการฮัดชิ้วมาตลอดทาง แถมขี้มูกเขียวอื๋อที่กระเด็นออกมาเป็นระยะ ในตะกร้ามีผ้าขนหนูสีเคยขาวมาด้วยผืนนึง แต่งแต้มด้วยรอยขี้มูกแห้งเป็นหย่อมๆ มีอาหารเม็ดมาด้วยนะ ถุงย่อมๆ สงสัยเค้าคงกลัวเราจะปล่อยให้มันอดแน่ๆ เค้ารู้ได้ยังไงนะ แต่ยังสงสัยจนถึงวันนี้ ว่ามันยี่ห้ออะไรหว่า
มาถึงบ้าน เอามันออกมาจากตะกร้า มาดูรูปมันวันแรกที่บ้านเรากัน
เป็นงัยผอมแบบที่บอกมั๊ย แล้วดูนั่นนะ เสื้อสีชมพูตัวใหญ่ต้องใช้เข็มกลัดมากลัดไว้ เพราะเสื้อมันหล่นลงมาคลุมตูด มันป่วย เลยนอนแบบกับที่นอน ทีนี้มาคิดต่อจะตั้งชื่อมันว่าอะไรดีนะ จะเรียก BB1 มันเข้ากับมันซะที่ไหน ดูหน้ามันสิ เออ...มันตัวผู้ ตัวผู้ก็ต้องมีไข่สิ แล้วแถมขี้มูกย้อยยืดมาแบบนี้ เลยเอามารวมกันซะ "ไอ้ไข่" ไม่ใช่ไข่เฉยๆ ด้วยนะ "ไข่ย้อย" ด้วย
ได้เวลาป้อนยา เลยต้องจับห่อแบบนี้ ตอนนั้นมันป่วย หมดแรงดิ้น จะทำอะไรก็ยอมหมดแหละ แล้วตัวมันหน่อยเดียว ห่อง่าย ลองจับมันมาห่อตอนนี้สิ สงสัยโดนมันกัดแขนแหว่ง
ดูหน้ากันชัดๆ เป็นไง ขี้เหร่ได้ใจจริงๆ นั่งซึมๆ ไม่สดใส นี่พยายามทำหน้าสดชื่นแล้วนะ
กับห้องน้ำของมันนั่นแหละ อันใหม่ เลยลงไปนอนเกลือกลิ้งเล่น ดำผุดดำว่ายในทราย แต่มันจะทำแบบนี้ตอนเปลี่ยนทรายใหม่ๆ เท่านั้นนะ ถ้าทรายใช้แล้ว ไม่ทำแบบนี้
เวลาผ่านไปเดือนนึง เออ มันหาย ไม่ตาย มันเลือกที่จะไม่ตาย มันเลือกที่จะอยู่กับเรา......
นับจากวันนั้นถึงวันนี้ มันก็สร้างวีรกรรมกับเรานับไม่ถ้วน ไล่ตั้งแต่ ไปจับแมลงสาบกิน แล้วอวกบนผ้า ผ้าสะอาดด้วยนะ เป็นกองๆ ให้เก็บ เอางานสำคัญมากัดเล่น(อันนี้บ่อยมากที่สุด) เอาทิชชู่มากัดเล่นซะกระจุยกระจายรอบบ้าน ไปตะกุยยกทรงจากในตะกร้าเอามากัดเล่น กัดต้นไม้ในบ้านเท่าที่ตีนมันจะเอื้อมเหนี่ยวลงมากัดได้ เอาตีนไปแกว่งน้ำในชักโครกเล่น เปิดประตูบ้านเป็นไม่ได้จะต้องวิ่งพรวดออกไป เสร็จแล้วกลับมาไม่ถูก หลงไปเลย ต้องให้ออกไปตามทุกครั้ง หมาไม่รู้จัก แมวก็ไม่รู้จัก ท้าต่อยได้ทุกตัว ปีนขึ้นโต๊ะ ไปเขี่ยเอาทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะให้มันหล่นลงบนพื้น หาอะไรไม่เจอ ไปดูเลย อยู่ใต้โซฟา กับเราชอบกัด กัดแรงๆ แขนมีแต่รอยกัด แต่กับคนอื่นไปอ้อนเค้า พันแข็งพันขา กลิ้งไปกลิ้งมา ทำท่าน่ารักสุดๆ ตดเหม็นมาก บางวันไม่รู้จะรีบไปไหน ขี้เสร็จไม่ยอมกลบ เปิดประตูเข้าบ้านมาที แทบผงะ รู้สึกเหมือนกลิ่นโดดถีบหน้า ถ้าวันไหนเรานอนตื่นสาย จะโดนมันกระโดดมาเหยียบอก แล้วเอาตีนมันมาแตะที่หน้า บางทีตีนนั้นก็มาพร้อมกลิ่นอึ แล้วใครจะไม่ตื่น แต่ถ้าไม้นี้ไม่ได้ผล มันจะนอนทับอกเลย เอาให้หายใจไม่ออกกันไปข้างนึง
ตอนนั้น กับตอนนี้ หลายคนถึงได้บอกไว้ว่าอยากให้แมวตัวเองกลับไปเหมือนตอนเด็กๆ ถ้าย้อนเวลาได้ ดูหน้ามันสิ เคยน่ารัก กับโคตรกวนตีน
โชว์กันเต็มๆ ไปเลย "ไข่" กับหางกุดๆ สังเกตที่เท้าหลังขวา จะมีสีแต้มน้ำตาลเป็นรูปหัวใจคว่ำ
ไม่รู้เสื้อหดหรือเปล่า ตึงเป๊ะเลย เราซื้อให้ใหม่แล้วนะ แต่ยังเก็บเสื้อตัวนี้ไว้อยู่เลย เดี๋ยววันไหนจะจับเอามาใส่ให้มันใหม่
ตัวอย่างความซน แมวของใครอีกหลายคนก็คงเป็นแบบนี้ เล่นถุงพลาสติก แล้วหัวเข้าไปติดที่ตรงหูของถุง
แล้วแบบนี้หล่ะ เข้าไปนอนในถุงมันเลย เราก็เลยจับมันใส่ถุง แล้วห้อยไว้ซักพัก จะได้หายซ่า
กูละกลุ้มจริงๆ ที่ต้องมาอยู่บ้านนี้
กิจกรรมที่คุณไข่ขอบทำทุกวัน คือมาตะกุยขา เพื่อให้เราอุ้มมันขึ้นมานั่งบนบ่า จะนั่งอยู่แบบนี้จนกว่าเราจะจับมันลง ไม่โดดลงเอง เมื่อก่อนตัวเล็กทำแบบนี้ก็สนุกดี แต่ตอนนี้หนักกว่าสี่กิโล ทำแบบนี้บ่าถึงกับทรุด
กะละมังใส่ตุ๊กตารอประกอบ คุณชายเธอก็ลงไปนอนขดๆ เบียดกับตุ๊กตา ตอนแรกก็นอนเบียด ซักพัก เขี่ยตุ๊กตาออกซะ หรือไม่ก็กัดเล่น ตุ๊กตาเสร็จมันไปหลายตัวแล้ว มันคงนึกว่าเราเย็บให้มัน
ณ วันนั้น เมื่อวันยังเยาว์ เก้าอี้ตัวใหญ่
ณ วันนี้ เมื่อวันเป็นหนุ่มเต็มตัว เก้าอี้ตัวเก่ากลับเล็กลง
นับถึงวันนี้ ไข่ย้อยมาอยู่กับเราประมาณแปดเก้าเดือนได้แล้ว แต่ละวันไข่ย้อยจะมีสิ่งที่ทำให้เราปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน หางานให้เราทำ มีเรื่องให้ต้องไล่ตีกันทุกวัน บางครั้งโดนตีไปไม่ถึงนาที หันมาอีกที มันก็ทำเหมือนเดิม เราคิดไม่ออกว่า มันเคยทำความดีอะไรให้เราประทับใจบ้างนะ นั่งเขียนไปนี่ ก็พยายามนึก แต่นึกไม่ออกจริงๆ แต่อย่างนึงที่เรารู้สึกได้ คือ ทุกสายตาที่มันมองเรา ไม่เคยมีสายตาของความเกลียดชัง หรือสายตาแบบดูถูกเหยียดหยาม ขนาดโดนตีไปเมื่อกี๊ ตรงนี้เองที่ทำให้เรารู้สึกว่า เรารักมันโดยไม่รู้ตัว และมันคงเป็นความรักที่เราเองก็ไม่เคยมีให้ใครมาก่อน เป็นความรักที่ไม่ต้องการการตอบแทน เป็นความรักที่มันมาพร้อมกับความว่าง ว่างจากการความหึงหวง ว่างจากความเป็นห่วง
การเลี้ยงสัตว์ให้อะไรกับเรามากกว่าเป็นเพียงแค่สัตว์เลี้ยง มันสอนให้เราอดทน ลดละจากความโกรธ แต่ให้มองมันด้วยใจที่เต็มไปด้วยความเมตตา เพราะโกรธไปก็เท่านั้น มันไม่รู้เรื่อง ถ้าเราโกรธก็แสดงว่าจิตใจเราต่ำกว่าสัตว์นั่นเอง นั่นคือสิ่งที่ไข่ย้อยมันสอนเราทุกวัน
ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อน ขอบคุณที่สั่งสอนให้เรามีความอดทนเพิ่มมากขึ้น ขอบคุณสำหรับทุกความซนที่คุณก่อ ขอบคุณที่คุณเลือกจะอยู่กับเรา ขอบคุณมากๆ ขอบคุณจริงๆ..........
วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
มาทำ "ป่นหม้อ" กินกันเถอะ
ไม่ผิดค่ะ "ป่นหม้อ" ไม่ใช่เอามาหม้อมาป่น แต่เอาเนื้อสัตว์ที่คุณชอบมาทำเป็นอาหารมื้อง่ายๆ แถมยังมีประโยชน์กับร่างกาย เพราะส่วนประกอบมีสมุนไพรไทยง่ายๆ ที่หาได้ทั่วไป แล้วยังทำง่ายอีกด้วยจ้า มาเริ่มกันเลยดีกว่า
ก่อนอื่นต้องเตรียมเครื่องปรุงก่อน
เครื่องปรุงก็ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไร
1. ใครชอบหมูก็ใช้หมูสับ ใครชอบเนื้อก็ใช้เนื้อสับ ประมาณขีดครึ่ง(150 กรัม)
2. ข่า 5-6 แว่น ตะไคร้ 2 ต้น ใบมะกรูด 4 ใบ หัวหอม 4-5 หัว
3. เครื่องปรุง ก็มีน้ำปลา พริกป่น มะขามเปียก น้ำตาลทรายเล็กน้อย
มาเข้าสู่วิธีการทำกันดีกว่า
1. เอาเครื่องต้มยำทั้งหมดใส่ลงในครก แล้วตำให้ละเอียด หรือบางคนชอบหยาบหน่อย ก็ไม่ผิดอะไร แล้วลงมือตำเลย (คำแนะนำ ถ้าใส่แหวนอยู่ ควรถอดออก เพราะมันจะเจ็บเวลาเราจับสากค่ะ)
2. พอตำเครื่องละเอียดดีแล้ว ก็ตักออกใส่ชามใบใหญ่ แล้วเอาหมู หรือเนื้อสับลงไปคลุกเคล้าขยำขยี้ให้เขากัน
3. หมักทิ้งไว้ประมาณสิบห้านาที หรือนานกว่านี้ก็ได้ค่ะ จากนั้นเราก็เอาหม้อ ใบเล็ก ใบใหญ่ ก็ได้นะคะ แล้วแต่หาได้ที่บ้าน เอาหม้อตั้งไฟ ใส่น้ำมันพืชเล็กน้อย แล้วเอาหมูที่เราหมักไว้ลงไปผัด(วันนี้บังเอิญขัดหม้อซะขาวพอดูได้ เลยเลือกใช้ใบนี้ มีด้ามจับถนัดมือหน่อย)
4. ผัดหมูให้สุก อาจเติมน้ำลงไปเล็กน้อย ผักให้สุกดีเลยนะคะ เสร็จแล้ว ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะขามเปียก และพริกป่น ผัดต่อให้เครื่องปรุงทั้งหมดเข้ากัน แต่ตอนผัดต้องระวัง อย่าใช้ไฟแรง พริกป่นจะไหม้ ป่นหม้อจะขมจ้า
5. ชิมรสตามชอบ ส่วนตัวเราชอบเผ็ดจัด จึงใส่พริกป่นมากหน่อย ปรุงรสให้ออกเปรี้ยวนำ เค็มตาม แล้วตามด้วยเผ็ด (แต่ของเราเน้นเผ็ดนำ ตามด้วยเปรี้ยว แล้วค่อยมาเค็ม)
6. ตักใส่ชาม ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น โรยหน้าด้วยใบมะกรูดหั่นฝอย กินกับผักสด เช่น แตงกวา ถั่วพลู ผักกาดขาว หรือผักสดตามท้องถิ่นที่คุณมี มีข้าวสวยร้อนๆ ซักจาน หรือใครชอบข้าวเหนียว ก็เข้ากั๊นเข้ากัน หรือกินแกล้มเบียร์นะ สุดยอดไปเลยค่ะ แค่นี้ ก็อิ่มท้อง และง่ายด้วยค่ะ ถ้ากินไม่หมด เก็บใส่กล่องแช่ตู้เย็นรสชาดก็ไม่้ปลี่ยน
อ้อ....ขอให้เครดิตเมนูนี้กับเพื่อนสาวชาวชัยภูมิคนนึงที่แนะนำเมนูง่าย และอร่อยนี้มาให้ค่ะติดตามอ่านเมนูง่ายๆ แบบนี้กันอีกนะคะ....บ๊าย....บาย...จุ๊บุ...จุ๊บุ..ค่ะ
ก่อนอื่นต้องเตรียมเครื่องปรุงก่อน
เครื่องปรุงก็ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไร
1. ใครชอบหมูก็ใช้หมูสับ ใครชอบเนื้อก็ใช้เนื้อสับ ประมาณขีดครึ่ง(150 กรัม)
2. ข่า 5-6 แว่น ตะไคร้ 2 ต้น ใบมะกรูด 4 ใบ หัวหอม 4-5 หัว
3. เครื่องปรุง ก็มีน้ำปลา พริกป่น มะขามเปียก น้ำตาลทรายเล็กน้อย
มาเข้าสู่วิธีการทำกันดีกว่า
1. เอาเครื่องต้มยำทั้งหมดใส่ลงในครก แล้วตำให้ละเอียด หรือบางคนชอบหยาบหน่อย ก็ไม่ผิดอะไร แล้วลงมือตำเลย (คำแนะนำ ถ้าใส่แหวนอยู่ ควรถอดออก เพราะมันจะเจ็บเวลาเราจับสากค่ะ)
2. พอตำเครื่องละเอียดดีแล้ว ก็ตักออกใส่ชามใบใหญ่ แล้วเอาหมู หรือเนื้อสับลงไปคลุกเคล้าขยำขยี้ให้เขากัน
3. หมักทิ้งไว้ประมาณสิบห้านาที หรือนานกว่านี้ก็ได้ค่ะ จากนั้นเราก็เอาหม้อ ใบเล็ก ใบใหญ่ ก็ได้นะคะ แล้วแต่หาได้ที่บ้าน เอาหม้อตั้งไฟ ใส่น้ำมันพืชเล็กน้อย แล้วเอาหมูที่เราหมักไว้ลงไปผัด(วันนี้บังเอิญขัดหม้อซะขาวพอดูได้ เลยเลือกใช้ใบนี้ มีด้ามจับถนัดมือหน่อย)
4. ผัดหมูให้สุก อาจเติมน้ำลงไปเล็กน้อย ผักให้สุกดีเลยนะคะ เสร็จแล้ว ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะขามเปียก และพริกป่น ผัดต่อให้เครื่องปรุงทั้งหมดเข้ากัน แต่ตอนผัดต้องระวัง อย่าใช้ไฟแรง พริกป่นจะไหม้ ป่นหม้อจะขมจ้า
5. ชิมรสตามชอบ ส่วนตัวเราชอบเผ็ดจัด จึงใส่พริกป่นมากหน่อย ปรุงรสให้ออกเปรี้ยวนำ เค็มตาม แล้วตามด้วยเผ็ด (แต่ของเราเน้นเผ็ดนำ ตามด้วยเปรี้ยว แล้วค่อยมาเค็ม)
6. ตักใส่ชาม ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น โรยหน้าด้วยใบมะกรูดหั่นฝอย กินกับผักสด เช่น แตงกวา ถั่วพลู ผักกาดขาว หรือผักสดตามท้องถิ่นที่คุณมี มีข้าวสวยร้อนๆ ซักจาน หรือใครชอบข้าวเหนียว ก็เข้ากั๊นเข้ากัน หรือกินแกล้มเบียร์นะ สุดยอดไปเลยค่ะ แค่นี้ ก็อิ่มท้อง และง่ายด้วยค่ะ ถ้ากินไม่หมด เก็บใส่กล่องแช่ตู้เย็นรสชาดก็ไม่้ปลี่ยน
อ้อ....ขอให้เครดิตเมนูนี้กับเพื่อนสาวชาวชัยภูมิคนนึงที่แนะนำเมนูง่าย และอร่อยนี้มาให้ค่ะติดตามอ่านเมนูง่ายๆ แบบนี้กันอีกนะคะ....บ๊าย....บาย...จุ๊บุ...จุ๊บุ..ค่ะ
วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
กับวันดีๆ วันสบาย วันเกิด ตามแบบที่เราชอบ(กิน ไหว้พระ เดินช็อปปิ้ง)
หลายคนเมื่อถึงวันเกิด ส่วนใหญ่สำหรับมนุษย์เงินเดือนอายุเข้าเลขสี่แบบเรา มันจะหนีไม่พ้น การไปใส่บาตร ถวายสังฆทาน การไปไหว้สักการะพระที่เราศรัทธา หรือการหาสถานที่ทำบุญ การไปเดินซื้อของเพื่อให้เป็นของขวัญตัวเอง หรือการไปหาอาหารรสเสิศตามใจปากของคนที่เป็นเจ้าของวันเกิด บางคนชอบร้องเพลง ก็อาจจะมีการชักชวนเพื่อนฝูงไปเจอกันที่คาราโอเกะ หรือร้านอาหารตามความชอบส่วนบุคคล หรือบางคนชอบกินข้าวที่บ้าน ก็อาจจะเลือกทำกับข้าวกินเองที่บ้าน เลี้ยงฉลองกันในครอบครัว พร้อมหน้าพร้อมตาสามีภรรยาและลูก หรือบางคนเลือกที่จะไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แต่สำหรับคนโสดแบบเรา เราก็เลือกที่จะทำคล้ายๆ กัยที่เอ่ยมาข้างบนนั่นแหละค่ะ แต่อาจจะลดปริมาณในบางเรื่องลง เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ทางการเงิน ในปีนี้วันเกิดเรา เราเลือกที่จะชวนเพื่อนสนิทคนนึงไปกับเรา ไปทำบุญ เดินเลือกซื้อของขวัญให้ตัวเอง และหาข้าวกินแบบเรียบๆ ง่ายๆ ตามสไตล์เรา
บ้านเราอยู่ลาดกระบัง เราเลยเลือกที่จะไปไหว้สักการะ พระพุทธรูปที่ทั้งประเทศเชื่อมั่นในความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน คือ หลวงพ่อโสธร ที่ตามประวัติว่า องค์ท่านลอยมาตามน้ำ แล้วมาขึ้นที่แปดริ้วตรงบริเวณที่เป็นวัด ณ ปัจจุบัน
เราใช้เส้นทางถนนสุวินทวงศ์ ระหว่างทางจะผ่านปั๊มบางจากสองปั๊ม ปั๊มที่สองนี้จะอยู่ใกล้จนเกือบจะถึงฉะเชิงเทราอยู่แล้ว จะมีร้านราดหน้าเยาวราชขายอยู่ในปั๊ม ซึ่งร้านนี้เราเคยตั้งใจจะมากินหลายรอบแล้ว ขึ้นชื่อของที่นี่ นอกจากราดหน้าหมูหมักนุ่มๆ แล้ว ก็จะมีอาหารตามสั่งบริการ แต่จานเด็ดที่ส่วนใหญ่จะสั่งกินกัน คือ สุกี้ น้ำจิ้มเต้าหู้ยี้รสชาดเด็ดขาด ซึ่งครั้งนี้เราไม่พลาดอีกแน่นอน
ร้านธรรมดา หลังร้านมีคลองเล็กๆ มีแหนลอยอยู่บนผิวน้ำเต็มเลย ไม่พลาดที่จะสั่งสุกี้น้ำรวมมิตร รออาหารซักพักใหญ่ เพราะคนขายทำไปคุยไป ด้วยความอารมณ์ดี อาหารจะได้อร่อย อันนี้เราคิดเอง
สุกี้น้ำรวมมิตรชามใหญ่หมดไปในเวลาอันรวดเร็ว คิดเงินกันเถิด ออกเดินทางต่อ
ถึงแล้ววัดหลวงพ่อโสธร ในรูปจะเป็นโบสถ์หลังใหม่ สวยงามมากเมื่อดูจากภายนอก ภายในสวยไม่แพ้กัน สงบเย็นมาก ในโบส์หลังใหม่จะมีองค์หลวงพ่อองค์จริงประดิษฐานอยู่ อนุญาตให้เข้าไปไหว้สักการะเท่านั้น ห้ามจุดธูป หรือปิดทอง ส่วนที่ให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปไหว้สักการะด้วยดอกไม้ธูปเทียนได้ยังคงเป็นที่โบส์เก่า กับหลวงพ่อองค์จำลอง
จุดธูปเทียน ด้านนอก แล้วเข้ามากราบท่าน และปิดทองด้านใน ประชาชนล้นหลามดังเดิม จะมากี่ครั้ง วันไหนก็ตาม แรงศรัทธาก็ไม่มีจางหาย ยังคงก็ล้มหลามจนเป็นภาพที่ชินตาที่สุด
จะปิดทองหลังพระซะหน่อย แต่องค์ท่านมีผ้าจีวรห่มอยู่จะเปิดผ้าขึ้น ก็เกรงจะไม่เหมาะ เลยปิดแถวๆ สะโพกแทน
กับอีกหนึ่งอย่างที่คนส่วนใหญ่ที่มาสักการะองค์ท่านจะต้องขอทำคือ การเสียงเซียมซี นอกเหนือจากการแก้บนด้วยไข่ต้มแล้ว ซึ่งต่อวันจะเห็นภาพคนเอาไข่ต้มมาแก้บนท่านเป็นจำนวนมาก อยากถามท่านจังเลยว่า เบื่อไข่ต้มแล้วหรือยังหนอ เราใช้วิธีหลับตาอธิษฐานแล้วเสี่ยงหยิบ หยิบได้เลข 9 อ่านรวมๆ โมเมเหมาเอาว่าดี จึงเอากลับมาด้วย แต่ใจอยากได้เลขสองตัวมากกว่า มันใกล้วันหวยออกแล้วนี่นา
ออกจากวัดจึงปรึกษากับเพื่อนว่าจะไปไหนต่อ เพื่อนแนะนำว่า น่าจะลองไป มหกรรมอาหารทะเลตลาดประมงท่าเรือพลี เลียบชายทะเล ชลบุรี ก็ดีสิใกล้แค่นี้เอง ยังไม่เคยไป แล้วเค้าจัดเฉพาะวันเสาร์เท่านั้น จึงออกเดินทางกันต่อ ไปถึงที่นั่นประมาณห้าโมงเย็นได้ แดดเปรี้ยงเลย แต่มีร้านมาตั้งเต็มแล้วนะ พอกันกับปริมาณคน
สัญลักษณ์ของงาน บริเวณนี้ตามประวัติว่าเป็นสถานที่ที่เคยเป็นท่าเทียบเรือประมงขนาดใหญ่ ที่มีการเอาอาหารทะเลสดๆ มาขึ้นและลงกันที่นี่ ฝั่งตรงข้ามของงาน มองออกไปในทะเล จะเห็นฟาร์มอะไรซักอย่างอยู่ใกล้ๆ ประมาณว่าไปจับใส่กระสอบมาขายกันตรงนั้นได้เลย
นี่ไง สภาพในงาน แบบที่เล่า เราไปถึงตอนประมาณห้าโมงเย็น แต่แดดร้อนมาก เดินไปเหงื่อออกหลัง จั๊กกะแร้เปียกแล้วเปียกอีก แต่ภายในงานเค้าจัดในลักษณะที่ให้พ่อค้าแม่ขายเจ้าดังมาตั้งร้านขายอาหารกัน เน้นไปที่อาหารทะเลสดๆ จะซื้อแบบทำสำเร็จพร้อมทาน หรือแบบสดก็มีให้เลือก แล้วในบริเวณนั้นก็จะมีโต๊ะเก้าอี้เขียวๆ ตั้งเรียงราย จะนั่งทานกันที่นี่เลยก็ได้ แต่ตอนนั้นเราไปมันร้อนมาก ยังนั่งไม่ได้ จึงเลือกที่จะเดินชมงานเค้าทั่วๆ ไปก่อน
หน้าบริเวณสถานที่จัดงาน
กุ้งเป็นกุ้ง
ร้านนี้ขายอาหารทะเลนึ่งใส่จานมาพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ด จานละประมาณร้อยนึง
กั้งหินนึ่ง น่ากินสุดๆ
ปลาทูแดดเดียว สามขีดร้อย รสชาดเค็มๆ หวานนิดๆ กินกับข้าวสวยร้อนๆ หรือกับข้าวเหนียวซักปั้นนึงนะ พุงแตกกันได้เลยทีเดียว
ส่วนร้านนี้ ทำกันเห็นๆ เลย ที่เห็นฉี่ๆ ในกระทะนั่นปลากระพงทอด แล้วยังมีแบบเผาเกลือ มีหอยแครงเผา และอีกหลายๆ อย่าง แค่ยืนดู น้ำลายก็ไหลแล้ว
เดินสำรวจรอบงานแล้ว แต่มันร้อนมาก นั่งกินไม่ได้ นั่งไม่ไหว ถ้านั่งนะ จะได้คนแดดเดียวกลับมาฝาก เลยเดินข้ามมาฝั่งตรงข้าม เก็บบรรยากาศเรือประมงมาฝาก
ตรงนี้พอนั่งหลบแดดได้บ้าง ข้างถนน หน้ารถกระบะใครก็ไม่รู้ รอเวลาให้แดดร่มหน่อย ตอนนี้เวลาหกโมงเย็นแล้วนะ แต่ดูแดดสิ เปรี้ยง
แดดร่มแล้ว พระอาทิตย์ตกแล้ว กลับไปในงานกันดีกว่า แต่ตอนนี้คลื่นมหาชนมาจากไหนกันนะ โต๊ะที่นั่งที่เห็นว่างๆ เมื่อกี๊ ตอนนี้เต็มหมด ไม่มีที่นั่ง เราเลยต้องเปลี่ยนที่กินไปที่ร้านเจ๊อ่วย ที่อ่างศิลา ขับรถจากที่นี่ประมาณยี่สิบนาทีได้
มาถึงร้านเจ๊อ่วยประมาณทุ่มนึงได้ มาไม่ถูก ให้พยายามขับรถเกาะป้ายร้านวังมุข รับรองไม่หลง เพราะมันมาทางเดียวกันแหละค่ะ ร้านนี้จะอยู่ฝั่งที่ไม่ติดทะเล วิวอาจจะไม่ดีเท่าไหร่ แต่รสชาดอาหารดีมาก และถูกกกกกก อันนี้สำคัญ เมื่อก่อนเราไปกิน ร้านนี้ยังเป็นร้านเล็กๆ จำได้ว่านั่งกินใต้ถุนบ้าน มีโต๊ะเล็กๆ ตั้งเรียงๆ กันไปใต้ถุนบ้านนั่นแหละ ตอนนี้ร้านใหญ่โต ปรับปรุงใหม่ โต๊ะนั่งมีทั้งแบบม้าหินนั่งได้สิบคน หรือจะเป็นแบบศาลา ก็เลือกเอาตามความชอบ
ของโปรดเลย ปลาหมึกต้มน้ำดำ หากินยากมาก จำได้ว่าแม่ของเพื่อนคนนึงเคยทำให้กินตอนไปนอนค้างบ้านเค้าที่กระบี่นู่นเลย รสชาดเค็มๆ หวานๆ กินเปล่าๆ กับน้ำจิ้มซีฟู้ด หรือกินกับข้าวสวยร้อนๆ ก็เข้ากัน แล้วก็นี่เลย
กรรเชียงปูนึ่ง แต่อันนี้ซื้อติดมาจากงานมหกรรมอาหาร ปูสดดีนะคะ เนื้อแน่น มาขออาศัยน้ำจิ้มร้านเจ๊อ่วย สุดยอดแล้ว อีกสอง อย่างที่สั่งคือ พล่าปลากุแลรสจัดจ้าน เป็นของขึ้นชื่อของชลบุรีอีกเมนูนึงเลย และปลาหมึกผัดไข่เค็ม กินหมดทุกอย่าง เลยว่าจะขอไปเดินชอปปิ้งที่แหลมแท่นอีกที่ เรียกเก็บตังค์ ค่าอาหารทั้งหมด 395 บาท เป็นไง เชื่อแล้วยังว่าถูก
ขับรถมาอีกหน่อยเดียวก็ถึงแหลมแท่น อยู่ติดกับบางแสน ทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ จะมี Walking Street มีร้านเก๋ๆ ขายสินค้าจากไอเดีย มีดนตรีที่เล่นเพลงแนวฟังก์ สกา จังหวะสนุกๆ และมีอาหารขาย พร้อมโต๊ะนั่งพื้น ที่ใครต้องการกินอาหารก็เลือกซื้อมานั่งได้เลย จึงเป็นที่รวมของวัยรุ่น และน้องๆ นักศึกษา ม.บูรพา จะพากันมาเดินเที่ยวกันที่นี่ ตอนนี้มีการจัดสถานที่ให้สามารถถ่ายรูปได้ด้วย
ตัวอย่างที่เค้าจัดที่นั่ง หรือบริเวณให้เราถ่ายรูปกัน จำลองสถานีรถไฟมาเลย
นี่บริเวณที่จัดเป็นที่นั่งแบบนั่งติดพื้น รอบก็จะมีอาหารขาย เลือกกินเลือกซื้อกันตามความชอบ มีให้เลือกหลายอย่าง เห็นก้อนหินตรงนั้นมั๊ย นั่นแหละสัญลักษณ์ของแหลมแท่น
ร้านนี้ขายของเล่นย้อนยุค จัดร้านสวยจัง ขอชักภาพซักรูป
ดึกพอสมควรแล้ว น่าจะประมาณสี่ทุ่มได้ คนยังแน่นอยู่เลย สังเกตจากปริมาณรถ แน่นจนไม่มีที่จอด
บรรยากาศเขาสามมุกตอนค่ำ ที่เห็นลิบรางนั่นแหละ เขาสามมุก คงต้องถึงเวลากลับแล้ว เออ...ลืมเลย สรุปเราซื้อของขวัญให้ตัวเองเป็นอันนี้ พวงกุญแจรถเป็นเลขทะเบียนรถเรา
เห็นทะเบียนรถคันนี้ที่ไหน อย่าลืมเข้ามาทักกันได้เลยนะคะ แล้วก็ได้เวลากลับกันแล้ว มาถึงบ้านเอาประมาณเที่ยงคืนพอดี แยกกันกลับบ้าน นอนบ้านใครบ้านมัน
จบทริปนี้ด้วยความสงบ และเป็นสุขใจ ขอส่งความสุขใจเล็กๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างทริป ไปถึงบางคน เผื่อเอาเป็นไอเดียให้ตัวเองในวันเกิดได้บ้างนะคะ................
บ้านเราอยู่ลาดกระบัง เราเลยเลือกที่จะไปไหว้สักการะ พระพุทธรูปที่ทั้งประเทศเชื่อมั่นในความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน คือ หลวงพ่อโสธร ที่ตามประวัติว่า องค์ท่านลอยมาตามน้ำ แล้วมาขึ้นที่แปดริ้วตรงบริเวณที่เป็นวัด ณ ปัจจุบัน
เราใช้เส้นทางถนนสุวินทวงศ์ ระหว่างทางจะผ่านปั๊มบางจากสองปั๊ม ปั๊มที่สองนี้จะอยู่ใกล้จนเกือบจะถึงฉะเชิงเทราอยู่แล้ว จะมีร้านราดหน้าเยาวราชขายอยู่ในปั๊ม ซึ่งร้านนี้เราเคยตั้งใจจะมากินหลายรอบแล้ว ขึ้นชื่อของที่นี่ นอกจากราดหน้าหมูหมักนุ่มๆ แล้ว ก็จะมีอาหารตามสั่งบริการ แต่จานเด็ดที่ส่วนใหญ่จะสั่งกินกัน คือ สุกี้ น้ำจิ้มเต้าหู้ยี้รสชาดเด็ดขาด ซึ่งครั้งนี้เราไม่พลาดอีกแน่นอน
ร้านธรรมดา หลังร้านมีคลองเล็กๆ มีแหนลอยอยู่บนผิวน้ำเต็มเลย ไม่พลาดที่จะสั่งสุกี้น้ำรวมมิตร รออาหารซักพักใหญ่ เพราะคนขายทำไปคุยไป ด้วยความอารมณ์ดี อาหารจะได้อร่อย อันนี้เราคิดเอง
สุกี้น้ำรวมมิตรชามใหญ่หมดไปในเวลาอันรวดเร็ว คิดเงินกันเถิด ออกเดินทางต่อ
ถึงแล้ววัดหลวงพ่อโสธร ในรูปจะเป็นโบสถ์หลังใหม่ สวยงามมากเมื่อดูจากภายนอก ภายในสวยไม่แพ้กัน สงบเย็นมาก ในโบส์หลังใหม่จะมีองค์หลวงพ่อองค์จริงประดิษฐานอยู่ อนุญาตให้เข้าไปไหว้สักการะเท่านั้น ห้ามจุดธูป หรือปิดทอง ส่วนที่ให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปไหว้สักการะด้วยดอกไม้ธูปเทียนได้ยังคงเป็นที่โบส์เก่า กับหลวงพ่อองค์จำลอง
จุดธูปเทียน ด้านนอก แล้วเข้ามากราบท่าน และปิดทองด้านใน ประชาชนล้นหลามดังเดิม จะมากี่ครั้ง วันไหนก็ตาม แรงศรัทธาก็ไม่มีจางหาย ยังคงก็ล้มหลามจนเป็นภาพที่ชินตาที่สุด
จะปิดทองหลังพระซะหน่อย แต่องค์ท่านมีผ้าจีวรห่มอยู่จะเปิดผ้าขึ้น ก็เกรงจะไม่เหมาะ เลยปิดแถวๆ สะโพกแทน
กับอีกหนึ่งอย่างที่คนส่วนใหญ่ที่มาสักการะองค์ท่านจะต้องขอทำคือ การเสียงเซียมซี นอกเหนือจากการแก้บนด้วยไข่ต้มแล้ว ซึ่งต่อวันจะเห็นภาพคนเอาไข่ต้มมาแก้บนท่านเป็นจำนวนมาก อยากถามท่านจังเลยว่า เบื่อไข่ต้มแล้วหรือยังหนอ เราใช้วิธีหลับตาอธิษฐานแล้วเสี่ยงหยิบ หยิบได้เลข 9 อ่านรวมๆ โมเมเหมาเอาว่าดี จึงเอากลับมาด้วย แต่ใจอยากได้เลขสองตัวมากกว่า มันใกล้วันหวยออกแล้วนี่นา
ออกจากวัดจึงปรึกษากับเพื่อนว่าจะไปไหนต่อ เพื่อนแนะนำว่า น่าจะลองไป มหกรรมอาหารทะเลตลาดประมงท่าเรือพลี เลียบชายทะเล ชลบุรี ก็ดีสิใกล้แค่นี้เอง ยังไม่เคยไป แล้วเค้าจัดเฉพาะวันเสาร์เท่านั้น จึงออกเดินทางกันต่อ ไปถึงที่นั่นประมาณห้าโมงเย็นได้ แดดเปรี้ยงเลย แต่มีร้านมาตั้งเต็มแล้วนะ พอกันกับปริมาณคน
สัญลักษณ์ของงาน บริเวณนี้ตามประวัติว่าเป็นสถานที่ที่เคยเป็นท่าเทียบเรือประมงขนาดใหญ่ ที่มีการเอาอาหารทะเลสดๆ มาขึ้นและลงกันที่นี่ ฝั่งตรงข้ามของงาน มองออกไปในทะเล จะเห็นฟาร์มอะไรซักอย่างอยู่ใกล้ๆ ประมาณว่าไปจับใส่กระสอบมาขายกันตรงนั้นได้เลย
นี่ไง สภาพในงาน แบบที่เล่า เราไปถึงตอนประมาณห้าโมงเย็น แต่แดดร้อนมาก เดินไปเหงื่อออกหลัง จั๊กกะแร้เปียกแล้วเปียกอีก แต่ภายในงานเค้าจัดในลักษณะที่ให้พ่อค้าแม่ขายเจ้าดังมาตั้งร้านขายอาหารกัน เน้นไปที่อาหารทะเลสดๆ จะซื้อแบบทำสำเร็จพร้อมทาน หรือแบบสดก็มีให้เลือก แล้วในบริเวณนั้นก็จะมีโต๊ะเก้าอี้เขียวๆ ตั้งเรียงราย จะนั่งทานกันที่นี่เลยก็ได้ แต่ตอนนั้นเราไปมันร้อนมาก ยังนั่งไม่ได้ จึงเลือกที่จะเดินชมงานเค้าทั่วๆ ไปก่อน
หน้าบริเวณสถานที่จัดงาน
กุ้งเป็นกุ้ง
ร้านนี้ขายอาหารทะเลนึ่งใส่จานมาพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ด จานละประมาณร้อยนึง
กั้งหินนึ่ง น่ากินสุดๆ
ปลาทูแดดเดียว สามขีดร้อย รสชาดเค็มๆ หวานนิดๆ กินกับข้าวสวยร้อนๆ หรือกับข้าวเหนียวซักปั้นนึงนะ พุงแตกกันได้เลยทีเดียว
ส่วนร้านนี้ ทำกันเห็นๆ เลย ที่เห็นฉี่ๆ ในกระทะนั่นปลากระพงทอด แล้วยังมีแบบเผาเกลือ มีหอยแครงเผา และอีกหลายๆ อย่าง แค่ยืนดู น้ำลายก็ไหลแล้ว
เดินสำรวจรอบงานแล้ว แต่มันร้อนมาก นั่งกินไม่ได้ นั่งไม่ไหว ถ้านั่งนะ จะได้คนแดดเดียวกลับมาฝาก เลยเดินข้ามมาฝั่งตรงข้าม เก็บบรรยากาศเรือประมงมาฝาก
ตรงนี้พอนั่งหลบแดดได้บ้าง ข้างถนน หน้ารถกระบะใครก็ไม่รู้ รอเวลาให้แดดร่มหน่อย ตอนนี้เวลาหกโมงเย็นแล้วนะ แต่ดูแดดสิ เปรี้ยง
แดดร่มแล้ว พระอาทิตย์ตกแล้ว กลับไปในงานกันดีกว่า แต่ตอนนี้คลื่นมหาชนมาจากไหนกันนะ โต๊ะที่นั่งที่เห็นว่างๆ เมื่อกี๊ ตอนนี้เต็มหมด ไม่มีที่นั่ง เราเลยต้องเปลี่ยนที่กินไปที่ร้านเจ๊อ่วย ที่อ่างศิลา ขับรถจากที่นี่ประมาณยี่สิบนาทีได้
มาถึงร้านเจ๊อ่วยประมาณทุ่มนึงได้ มาไม่ถูก ให้พยายามขับรถเกาะป้ายร้านวังมุข รับรองไม่หลง เพราะมันมาทางเดียวกันแหละค่ะ ร้านนี้จะอยู่ฝั่งที่ไม่ติดทะเล วิวอาจจะไม่ดีเท่าไหร่ แต่รสชาดอาหารดีมาก และถูกกกกกก อันนี้สำคัญ เมื่อก่อนเราไปกิน ร้านนี้ยังเป็นร้านเล็กๆ จำได้ว่านั่งกินใต้ถุนบ้าน มีโต๊ะเล็กๆ ตั้งเรียงๆ กันไปใต้ถุนบ้านนั่นแหละ ตอนนี้ร้านใหญ่โต ปรับปรุงใหม่ โต๊ะนั่งมีทั้งแบบม้าหินนั่งได้สิบคน หรือจะเป็นแบบศาลา ก็เลือกเอาตามความชอบ
ของโปรดเลย ปลาหมึกต้มน้ำดำ หากินยากมาก จำได้ว่าแม่ของเพื่อนคนนึงเคยทำให้กินตอนไปนอนค้างบ้านเค้าที่กระบี่นู่นเลย รสชาดเค็มๆ หวานๆ กินเปล่าๆ กับน้ำจิ้มซีฟู้ด หรือกินกับข้าวสวยร้อนๆ ก็เข้ากัน แล้วก็นี่เลย
กรรเชียงปูนึ่ง แต่อันนี้ซื้อติดมาจากงานมหกรรมอาหาร ปูสดดีนะคะ เนื้อแน่น มาขออาศัยน้ำจิ้มร้านเจ๊อ่วย สุดยอดแล้ว อีกสอง อย่างที่สั่งคือ พล่าปลากุแลรสจัดจ้าน เป็นของขึ้นชื่อของชลบุรีอีกเมนูนึงเลย และปลาหมึกผัดไข่เค็ม กินหมดทุกอย่าง เลยว่าจะขอไปเดินชอปปิ้งที่แหลมแท่นอีกที่ เรียกเก็บตังค์ ค่าอาหารทั้งหมด 395 บาท เป็นไง เชื่อแล้วยังว่าถูก
ขับรถมาอีกหน่อยเดียวก็ถึงแหลมแท่น อยู่ติดกับบางแสน ทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ จะมี Walking Street มีร้านเก๋ๆ ขายสินค้าจากไอเดีย มีดนตรีที่เล่นเพลงแนวฟังก์ สกา จังหวะสนุกๆ และมีอาหารขาย พร้อมโต๊ะนั่งพื้น ที่ใครต้องการกินอาหารก็เลือกซื้อมานั่งได้เลย จึงเป็นที่รวมของวัยรุ่น และน้องๆ นักศึกษา ม.บูรพา จะพากันมาเดินเที่ยวกันที่นี่ ตอนนี้มีการจัดสถานที่ให้สามารถถ่ายรูปได้ด้วย
ตัวอย่างที่เค้าจัดที่นั่ง หรือบริเวณให้เราถ่ายรูปกัน จำลองสถานีรถไฟมาเลย
นี่บริเวณที่จัดเป็นที่นั่งแบบนั่งติดพื้น รอบก็จะมีอาหารขาย เลือกกินเลือกซื้อกันตามความชอบ มีให้เลือกหลายอย่าง เห็นก้อนหินตรงนั้นมั๊ย นั่นแหละสัญลักษณ์ของแหลมแท่น
ร้านนี้ขายของเล่นย้อนยุค จัดร้านสวยจัง ขอชักภาพซักรูป
ดึกพอสมควรแล้ว น่าจะประมาณสี่ทุ่มได้ คนยังแน่นอยู่เลย สังเกตจากปริมาณรถ แน่นจนไม่มีที่จอด
บรรยากาศเขาสามมุกตอนค่ำ ที่เห็นลิบรางนั่นแหละ เขาสามมุก คงต้องถึงเวลากลับแล้ว เออ...ลืมเลย สรุปเราซื้อของขวัญให้ตัวเองเป็นอันนี้ พวงกุญแจรถเป็นเลขทะเบียนรถเรา
เห็นทะเบียนรถคันนี้ที่ไหน อย่าลืมเข้ามาทักกันได้เลยนะคะ แล้วก็ได้เวลากลับกันแล้ว มาถึงบ้านเอาประมาณเที่ยงคืนพอดี แยกกันกลับบ้าน นอนบ้านใครบ้านมัน
จบทริปนี้ด้วยความสงบ และเป็นสุขใจ ขอส่งความสุขใจเล็กๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างทริป ไปถึงบางคน เผื่อเอาเป็นไอเดียให้ตัวเองในวันเกิดได้บ้างนะคะ................
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)