หลังจากชั้นกลับจากด่านซ้ายได้สองวัน ญาติที่ชั้นเคารพมากที่สุดก็โทรมาชวนชั้นไปสังขละบุรี โดยส่วนตัวชั้น ชั้นมาที่นี่สองครั้งแล้ว แต่ให้ดิ้นสิ แต่ละครั้งที่ไปทำไมไม่เหมือนกันเลย ที่ว่าไม่เหมือนกัน เพราะไปกับคนละคน ครั้งแรกชั้นไปกันสี่สาว ตอนหน้าร้อนเดือนมีนา ครั้งสองไปตอนหน้าหนาว แต่ที่นี่ก้อไม่หนาวเหมือนบ้านอื่นเมืองอื่นเค้า กลางวันร้อนมาก มากจริงๆ ครัังที่สามนี่ มากับญาติฝูงใหญ่ คือมากันหลายคนนั่นเอง สำหรับเรื่องเล่าถึงสังขละ ครั้งนี้ชั้นขอเล่าปนๆ กันเลยนะ คือจะเอาทั้งสามครั้งมายำรวมกันเลย ที่ยำรวมกันได้เพราะ ไปที่เดิมทั้งสามครั้ง แสดงว่ามันต้องมีดีอะไรสิ ถึงทำให้คนแบบชั้นกลับมาเยือนดินแดนนี้ได้ถึงสามครั้งสามครา
หลวงพ่ออุตตมะ ศูนย์รวมแห่งศรัทธาอันแรงกล้าของคนไทยเชื้อสายมอญ คนไทยหลายคนรู้จัก บางคนมีโอกาสดีที่ได้กราบท่านตอนท่านยังไม่มรณะภาพ ส่วนชั้นได้ไปกราบท่าน หลังจากท่านมรณะภาพแล้วสามปี ยังจำความรู้สึกปลื้มใจเหลือเกินที่ได้มากราบท่านตอนนั้นได้ไม่รู้ลืม นั่นคือครั้งแรกของชั้นกับสังขละ สะพานมอญอันเลื่องชื่อว่ายาวเป็นอันดับสองของโลก ถ้าชั้นจำไม่ผิดประมาณ 850 เมตรนะ สร้างด้วยแรงงานคน วิศวกรไม่ต้องใช้ โย้ไปเย้มา ไม้ที่ใช้ก็ได้มาจากต้นไม้จมน้ำในเขื่อนเขาแหลม วันนี้สะพานแห่งนี้ได้รับการบูรณะซ่อมแซมเป็นระยะ ให้คงสภาพได้ แบบที่ถ่ายรูปมาให้ดู สะพานนี้คนที่เคยไปแน่นอนต้องไม่พลาดการไปใส่บาตรตามวิถีชาวมอญ ต้องตื่นตีห้านะ สำหรับชั้นมาได้ใส่บาตรเอาครั้งที่สาม แล้วไปที่สะพานฝั่งหมู่บ้านมอญ ชั้นเรียกตามภาษาชั้นนะ เพราะฝั่งนั้นจะมีอาหารชุดพร้อมบริการนักท่องเที่ยวแบบเราไว้พร้อมแล้ว พระจะมารับบาตรตอนหกโมงครึ่ง ท่ามกลางสายหมอกตอนเช้าก่อนอรุณจะรุ่ง สำหรับชั้นครั้งที่สามนี่ ที่ได้ไปใส่บาตรเพราะนอนไม่หลับ สงสัยจะตื้นเต้นตื้นตันเพราะกินเหล้าเยอะเกิน จึงมีโอกาสได้ไปสัมผัสวิถีชาวพุทธของคนไทยเชื้อสายมอญแบบเต็มที่ เริ่มที่ตลาดเช้าตอนตีห้าครึ่ง ด้วยความพยายามจะวิ่งตามพระเอาข้าวเหนียวหมูปิ้งไปใส่บาตร ยังกลัวว่าจะได้บุญไม่พอ ยังอุตสาห์ซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งมาอีกชุดใหญ่ เอาไปใส่บาตรที่สะพาน คราวนี้สมใจแล้ว
อีกมุมของสะพาน ณ วันอากาศเย็น มองแทบไม่เห็นสะพาน อากาศน่าจะเย็นที่สุดของที่นี่แล้วนะ
ชั้นกับวัดจมน้ำ นี่ก็คือวัดของหลวงพ่อท่าน ก่อนที่จะมีการสร้างเขื่อนเขาแหลม พอสร้างเขื่อนเสร็จ วัดท่านเลยจมอยู่ใต้น้ำ แต่ตอนที่ไปไม่จม เพราะน้ำแห้ง สามารถนั่งเรือหางยาวไปถึง แล้วไปกระโดดเป็นลิงเป็นค่างแบบนี้ได้เลย ค่าเรือประมาณสามร้อยนั่งได้สี่ห้าคน เป็น unseen อีกอันที่ต้องหาโอกาสไปให้ได้ซักครั้งในชีวิต
อิฐมอญของจริง ต้องแบบนี้ ก้อนนี้ตกอยู่ที่พื้นแถวๆ วัดจมน้ำแหละ
ณ ด่านเจดีย์สามองค์ ห่างจากสังขละประมาณยี่สิบโลได้ อ่านจากป้ายเห็นว่าเดิมเป็นกองหินสามกอง เลยทำเป็นเจดีย์ซะ จะได้เด่นชัดขึ้น คนที่ผ่านไปมาจะได้กราบไหว้ได้ อันนี้ คนที่ไม่เคยไปอาจจะ นึกภาพว่าเจดีย์ต้องใหญ่โต ลองเปรียบเทียบกับตัวชั้นสิ ดูท่าชั้นจะใหญ่กว่านะ ตรงบริเวณนี้ มีแหล่งชอปปิ้งอีกแล้วจ้า ใครชอบกล้วยไม้ต้องที่นี่เลย ตระกูลช้างนะ มีเพียบ ให้เรียกว่าอะไรดีล่ะ ท่อน ท่อนนึงมีหลายต้น สามท่อนร้อยเดียว หรือจะนั่งรถสองแถวไปไหว้พระฝั่งพม่าก็เข้าท่า แต่มีคำเตือนจากคนปากหมาแบบชั้น ที่นี่มีร้านขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ร้านนึง ชั้นว่าชั้นปากหมาแล้วนะ แต่แม่ค้าหมากว่า อันนี้คอนเฟิร์มเลย แต่ถ้าใครต้องการสัมผัสรสชาดแปลกใหม่ในชีวิต กินไปโดนด่าไป แนะนำเลยร้านนี้ พี่สาวพม่าปากหมาขายก๋วยเตี๋ยว ณ ด่านเจดีย์สามองค์ ไม่กล้าขอถ่ายรูปแกมา กลัว ตัวเค้าอ่ะกลัว
ห้วยซองกาเรีย สวรรค์ของคนชอบเล่นน้ำแบบชั้นเลย อยู่ระหว่างทางกลับจากด่านเจดีย์จะมาสังขละ ขับรถมาต้องสังเกตหน่อยนึง ไม่งั้นขับเลยไปซะ จะอยู่ตรงสะพานเลยนะ ลงไปจะเป็นแแบบที่เห็นนี่เลย นั่งกินข้าวบนแคร่มีหลังคาไม้ไผ่ แคร่ยิ่นลงไปในน้ำ น้ำเย็นชื่นใจมาก ลึกประมาณเอวชั้นนะ อาหารอร่อย ที่สำคัญถูกมากกกกกกก ชั้นชอบเนื้อแดดเดียว ตามประสา meat lover แบบชั้นอีกแล้ว ก็นี่มัน blog ชั้นนี่นา ชั้นก้อชอบแบบชั้นดิ
นี่ตอนเย็นพระอาทิตย์จะลานะ แล้วมาดูตอนเที่ยงๆ บ้าง ณ มุมประมาณๆ เดียวกัน จากชั้นนี่แหละถ่ายรูปไว้เอง
ป้อมปี่ อุทยานแห่งชาติเขื่อนเขาแหลม ไม่ได้มีดีแค่สถานที่กางเตนท์สวยนะ ยังเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกแบบนี้ สวยในแบบของตัวเอง คนชอบนอนกางเตนท์ ที่นี่ถือว่าเป็นอีกที่ที่ไม่ควรพลาด
อันนี้ห้องอาบน้ำไม่มีหลังคา เปิดโล่งท้าลม เย้ยตะวัน ประชันท้องฟ้า แบบหาอุทยานไหนมาเทียบยาก นอกจากจะมีห้องอาบน้ำแบบเปิดโล่ง ป้อมปี่ยังมีห้องน้ำแบบมิชิดพร้อมเครื่องทำน้ำอุ่นไว้บริการด้วยจ้า เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมา เพราะคิดว่าแบบนั้นหาดูได้ทั่วไป
หน้าที่พักที่สังขละ สำหรับชั้นเรียกว่าระดับห้าดาวกันเลยทีเดียว ที่พักที่นี่ คือที่ที่ชั้นมาแวะถ่ายรูปตอนมาครั้งแรก แต่ไม่ได้นอนเพราะเต็ม ครั้งที่สองคนน้อยหน่อยเลยได้นอน ตื่นเช้าโผล่ออกมาหน้าห้องจะเห็นภาพนี้เลย รูปนี้ถ่ายตอนหน้าหนาวเดือนธันวา เวลาน่าจะประมาณแปดโมงเช้า มองไกลๆ เห็นเจดีย์พุทธคยาลิบๆ ลางๆ ต่างจากหน้าร้อนในรูปถัดไปมากมายนัก
สำหรับครั้งที่สาม ชั้นเก็บภาพมาน้อยมาก แค่รูปเดียวจริงๆ เพราะชั้นมัวแต่คิดว่า ชั้นมาหลายครั้งแล้ว ลืมคิดไปว่า การมาแต่ละครั้ง มันให้บรรยากาศที่ไม่เหมือนกันเลย ถึงแม้จะมานั่งอยู่ตรงมุมเดิม ที่เดิม แต่ครั้งนี้ที่ไปจะใกล้กับประเพณีสงกรานต์ของชาวมอญ ก็เห็นวัยรุ่นหนุ่มสาว สาดน้ำกันสนุกสนาน ไม่ต่างจากที่อื่น จะมีก็ตรงที่การรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่นะ ชาวบ้านเค้าจะเอารถน้ำที่วิ่งสาดน้ำกันจนสะใจแล้ว ประมาณสี่โมงเย็น รถทุกคันจะมารวมตัวกันที่บริเวณวัด แล้วจะไปเรียกผู้ใหญ่ที่ตัวเองเคารพให้มานั่งหลังกระบะรถนั่นแหละ แล้วลูกหลานก็พากันรดน้ำกันใหญ่ ไม่ใช่รดเบาๆนะ แต่ที่เห็นมันเรียกราดถึงจะถูก และมีการก่อเจดีย์ทราย เราไม่ค่อยเข้าใจประเพณีการก่อเจดีย์ทรายของเค้าเท่าไหร่ แล้วก็ไม่รู้จะถามใคร ได้แต่ยืนมองชาวบ้านที่มีจิตศรัทธาช่วยกันขนทรายมาก่อเป็นเจดีย์ชั้นๆ ใหญ่มากนะ แต่ละชั้นกั้นด้วยไผ่ลำใหญ่ๆ กั้นทรายแต่ละชั้นไม่ให้ทลายลงมา ผู้ใหญ่ขึ้นไปยืนเดินบนชั้นทรายแต่ละชั้นสบายเลย ได้แต่จูงมือกับป้าสองคนกำดอกไม้เสียบใส่ทางมะพร้าวที่ซื้อมาจากเด็กน้อยบนสะพาน เอามาเสียบไว้ที่เจดีย์ทรายแบบงงๆ แล้วเดาเอาว่า เค้าคงทำกันแบบนี้ ป่านนี้ดอกไม้ชั้นคงโดนเหยียบมิดไปแล้ว เพราะตอนนั้นเจดีย์เค้ายังก่อไม่เสร็จเลย คนเดินขึ้นเดินลง แต่ชั้นคิดว่าไหนๆ มาแล้ว ก็เอาซะหน่อย วันก่อเจดีย์จริงน่าจะวันที่ 17 นะ แต่เรากลับก่อน อยากอยู่จนได้เห็นประเพณีสรงน้ำพระด้วยจัง เพราะเห็นชาวบ้านช่วยกันเตรียมงาน แบบไม่มีเหน็ดเหนื่อย ช่วยกันเจาะช่องไม้ไผ่ ทำทางน้ำสำหรับสรงน้ำพระ ยาวมากๆ น่าสนุก เห็นแล้วปลื้มใจในพลังศรัทธาของกลุ่มชนชาวมอญของหลวงพ่อ กลับมาชั้นไม่ลืมที่จะจดลงปฏิทินไว้ว่า ปีหน้าชั้นจะไปให้ตรงกับเทศกาลสงกรานต์ของชาวมอญอีกครั้งให้ได้
สังขละ ต่างเวลา ต่างมุมความสวยงาม.........
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น