วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

ทริปแรกหลังว่างงาน ด่านซ้าย เลยไปเล้ยยยยย ชะรอยจะตกหลุมรักเมืองเลย

        และแล้ววันนึงเราก้อได้รับจดหมายบอกเลิกจ้างอ่ะ   ฉบับแรกในชีวิต  แต่แปลกแฮะ  ไหงชั้นกลับไม่รู้สึกเสียใจเลยวะ  กลับรู้สึกดีใจซะงั้น  ก็จะไม่ให้ดีใจได้งัย  เรากำลังเป็นอิสระแล้วนี่หว่า  ดีเลย  ชั้นจะไปเที่ยว เที่ยว เที่ยว แล้วก้อเที่ยว   เที่ยวตามแบบของชั้นนะ
        ชั้นไปเที่ยว  เที่ยวจนหลายคนอิจฉา  มันก็คงจะจริงแหละ เพราะตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ชั้นเที่ยวมาแล้วทุกจังหวัด  แต่มะก่อนชั้นไม่มีกล้องถ่ายรูปแบบเด๋วนี้   และที่สำคัญชั้นมันดันไม่ค่อยชอบถ่ายรูปซะด้วยดิ   แต่ต่อไปนี้สัญญาด้วยเกียรติลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ หมู่นกแซงแซวเลยว่า ชั้นจะถ่ายรูปทุกที่ที่ชั้นไป  ถึงแม้จะไปเป็นครั้งที่สามสี่  ชั้นก้อจะถ่ายรูปกลับมา  เอามาประกาศให้ชาวประชา เค้าอิจฉาเล่น
        เริ่มด้วยทริปนี้ดีกว่า  ชั้นขอเรียกทริปนี้ว่า  ทริปมั่วๆ สั่วๆ ตามเค้าไปแล้วกัน
การเดินทางสู่เมืองสุดขอบชายแดนไทยลาว ระยะทาง 555 กม. เมืองด่านซ้าย จังหวัดเลย ดินแดนแห่งผีตาโขน ดินแดนแห่งสัจจะและไมตรี เนี่ยเดือนมิถุนายนของทุกปี เทศกาลแห่ผีตาโขน หรือ Halloween Thailand  น่าไปเห็นด้วยตาเป็นอย่างยิ่ง ชาวบ้านแถวนั้นเล่าให้ฟังว่า สนุกกว่าสงกรานต์หลายเท่า สำหรับชั้นจะมีอะไรสนุกไปกว่าสงกรานต์อีกนะ  แต่ชาวบ้านก็ยังไม่เลิกที่จะย้ำกับชั้นว่า  นี่เลย  แห่ผีตาโขน  สนุกมาก   รับรอง.......มีเหรอคนหยั่งชั้นจะพลาด
       ที่จริงชั้นไปที่นี่มาแล้วครั้งนึงนะ  ปีก่อน  ใช่สิปีก่อน  เรื่องครั้งแรกที่ไปเอาไว้ก่อน  เอาครั้งที่สองนี้ก่อนแล้วกัน  เพราะครั้งแรกต้องระลึกนานหน่อย  ครั้งนี้ชั้นไปนั่งนอนเมาอยู่ที่ด่านซ้าย นานอาทิตย์นึงพอดี  แต่ละวันคนที่นำพาชั้นไป(ชายเสื้อชมพู นี่แหละไกด์นำเที่ยวทริปนี่ของชั้น โอเล่ ผอ.รร.บ้านปากแดง ไม่ใช่หลวงพ่อปากแดงนะคะ เพราะขอหวยไม่ได้  เจ้าของบ้านใจอารีย์  เปิดบ้านให้เรานอนยุงกัดตั้งหลายวันอีกด้วย)  เค้าก้อพยายามพาชั้น และหมู่ไปตรงนั้นตรงนี้  เท่าที่เค้าจะสนใจ และนึกออก  ว่าบ้านเค้ามีอะไรน่าไปเที่ยวบ้าง  จริงๆ แล้ว การที่ชั้นมีโอกาสได้ไปกับเค้าด้วยในครั้งนี้ ต้องยกเครดิตให้เพื่อนชั้นคนนึงนะ ที่เค้าตัดสินใจว่าจะ "ไป" แทนที่จะบอกว่าไม่ไปตามความคิดแว่บแรกของเค้า  เด๋วว่างๆ  ชั้นจะเอารูปเพื่อนคนนี้ของชั้นมาให้ดู....
        สองสามวันแรก  อาจจะค่อนข้างผิดหวังเล็กน้อยสำหรับหมู่เรา  เพราะตอนไป  ตั้งใจกันมากเลยว่าจะข้ามไปบ้านพี่เมืองน้องของเรา ฝั่งลาวงัยจ๊ะ แต่จนแล้วจนลอด หมู่เราก้อข้ามไปไม่ได้ เพราะ ฝนตก จำได้มั๊ยคะ ฝนที่จู่ๆ  มันก้อตก  จู่ๆ  อากาศหนาว นั่นแหละ สาเหตุที่ทำให้หมู่เราข้ามไปเหยี่ยบดินแดนพี่น้องเราไม่ได้  แขวงที่เราต้องการจะไปคือแขวงไชยบุรี  ซึ่งมีเสียงบ่นๆ  จากคนเสื้อชมพูมาให้ได้ยินเป็นระยะว่า  จริงๆ  แล้วเป็นดินแดนของไทยนะ   จึงเป็นเหตุให้คนเสื้อชมพู  ต้องคิดกะบาลแทบแยกว่าจะพาเราไปไหนดี
        เล่าเรื่องดินแดนติดไทยดีกว่า  ด่านซ้าย ไม่มีด่านขวา เพราะทางขวาเป็นเขา และที่สำคัญเป็นเขาที่ปีนไม่ได้  เพราะ "เขาไม่ให้ปีน" ฮุ ฮุ ฮุ  ขำป่าววะ ด่านซ้ายดินแดนติดลาว แค่เดินข้ามแม่น้ำเหืองความลึกประมาณเข่า  แค่นี้ก้อเดินเข้าไปเที่ยวเมืองลาวได้แล้ว  แต่เราจำไม่ได้แล้วดิว่าติดลาวเมืองอะไร บริเวณนี้เลยเป็นแหล่งทำมาค้าขายของไทยกะลาว ได้แก่ บ้านน่าข่า บ้านนาหว้า ตรงนี้เป็นจุดผ่อนปรนให้คนไทยขนของไปขายที่ลาว และให้ฝั่งลาวเอาของมาขายที่ไทย  ชั้นอ่ะ ที่อยากไปกะเค้าทริปนี้จริงๆ แล้วตั้งใจจะไปกินเบียร์ลาว(เบยลาว)เท่านั้น  เท่านั้นจริงๆ 





         ไปด่านซ้าย แน่นอนต้องไปแวะพิพิธภัณฑ์ผีตาโขน  ชั้นถ่ายรูปคู่กะตุ๊กตาผีตาโขนเด็ก ระหว่างชั้นกะผีตาโขน  ตัวไหนน่ารักกว่ากัน...  ฮะว่างัยนะ  อ๋อ..ผีตาโขนน่ารักกว่า  มะมาใกล้ๆ  ขอจุบุจุบุสามทีรวด

         เห็นพาหนะที่ชั้นนั่งยิ้มแป้นถ่ายรูปมานี่มั๊ย  เค้าเรียกรถอีแต๊ก เป็นรถที่เอาไว้ใช้เกี่ยวกับทุกกิจกรรมในการเกษตร แถมดีกว่ารถของชั้นเองอีกด้วยนะ เพราะมันขับขึ้นเขาชันๆ หรือตะลุยเข้าไปในท้องไร่ท้องนาที่ขรุขระมากๆ ได้สบายเลย นึกภาพออกมะ  แบบที่ไม่เรียกว่าถนนอ่ะ นี่แหละ มันสามารถพาชั้นและหมู่ขึ้นเขาไปดูไร่ข้าวโพดของชาวบ้านเค้า แต่เสียดายนะตอนที่ไปถึง  ไร่นี้เค้าเก็บเกี่ยวไปหมดแล้ว  เลยเห็นแต่ตอข้าวโพด  ถ้าสังเกตดีๆ ใต้ล้อ
         นั่นอ่ะ  หน้าชั้น แต่ที่เห็นเขียวๆ ข้างๆ นั่นคือ แมคคาเดเมีย แบบลูกสดๆ  ยังไม่ได้กระเทาะเปลือก แบบที่ยังอยู่บนต้น  ตรงนี้ถ้าจำไม่ผิดนะ เป็นโครงการตามรอยพระราชดำริของในหลวง  เค้าทดลองปลูกแมคคาเดเมีย สาลี่ และพืชเมืองหนาวอีกหลายอย่าง แล้วมีการเพาะเลี้ยงสัตว์ด้วยนะ  แบบไก่ชี สีขาวจั๊วะ ไก่แจ้ หรือไก่พันธ์พื้นเมือง  เพื่อเอาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์แจกชาวบ้านที่สนใจเอาไปเลี้ยงขยายพันธ์ต่อได้  ดีจิงวุ๊ย  อยู่ต่างจังหวัด  ปลูกผักเอาไว้กินเองก็ได้ จะเลี้ยงไก่ เป็ด ก็ไปขอพ่อพันธุ์แม่พันธุ์มา เพื่อนมาบ้านก็เอาเป็ดไก่นั่นแหละมาทำกับข้าวเลี้ยง  ชาวบ้านนี่น่าอิจฉากว่าคนกรุงเยอะนะ

          นี่บรรยากาศรอบบ้านที่พัก  ก็บ้านของคนเสื้อชมพูงัยจ๊ะ หมอกลงหนามาก จะเล่าอีกอย่างคือ ด่านซ้ายเป็นอำเภอที่เป็นช่องลม ลมจึงพัดเย็นตลอดปี  กลางคืนต้องนอนห่มผ้าทุกวัน บ้านทุกบ้านสิ่งที่ขาดไม่ได้คือผ้าห่ม  และเบาะนอน   ฉะนั้น หน้าหนาวจึงหนาวมากที่สุดในประเทศไทย ก็ที่นี่แหละ ด่านซ้าย จังหวัดเลย
             นี่ภาพจากภูสวนทราย  วันนั้นหมอกลงมาก จึงมองเห็นภูอะไรต่อมิอะไร ที่ชั้นจำไม่ได้ ไม่ค่อยชัด  ชั้นว่าถ้าใครอยากรู้ว่า ภูที่เห็นลิบๆ ตรงนั่นเรียกว่าภูอะไร  ชั้นพาไปดีกว่า  ที่นี่สามารถพักค้างแรมได้นะ  สำหรับคนชอบนอนเตนท์  บรรยากาศดีมาก สวย 240 องศาเลยทีเดียว

พระธาตสัจจะ  ชอบที่นี่จัง  ในโบสถ์มีให้หยอดตู้ทำบุญตามวันเกิด  พอหยอดเหรียญลงไป  จะมีเสียงสวดให้พรจากพระดังออกมา  ชั้นเลยหยอดพร้อมกันทีเดียวเจ็ดวัน  เผื่อเพื่อนที่ไม่ได้ไปด้วย  เสียงสวดให้พรดังแข่งกันเซ็งแซ่  เนี่ยนั่งอยู่นี่ยังได้ยินเสียงสวดลอยมาแว่วๆ  อยู่เลย  แต่ที่สังเกตอย่างนึง  เสียงสวดของวันอาทิตย์จะยาวที่สุดเลย  ไม่รู้ทำไม

และสุดท้าย  ท้ายสุดวันสุดท้ายก่อนกลับ  หมู่เราก็ตัดสินใจเดินไปเหยียบฝั่งลาวกัน  เพราะทนฟังเสียงรบเร้าจากชั้นไม่ไหว   ตรงนี้ท่าลี่  ด่านพรหมแดนข้ามไปลาวทางแขวงไชยบุรี   เดี๋ยวนี้ทันสมัยแล้ว  คนไทย(หน้าลาวแบบชั้น)ที่ต้องการข้ามไปลาวนะ  แค่จำเลขที่บัตรประชาชนให้ได้แค่นั้น  แล้วไปบอกพี่เจ้าหน้าที่เค้า  เค้าก้อจะจิ้มๆ หาในทะเบียนราษฎร์  แค่นี้ก้อได้ border pass  ข้ามไปเหยียบแผ่นดินลาว  เสียตังค์ค่าธรรมเนียม เป็นค่าจิ้มๆ  และพิมพ์กระดาษ แบบที่ชั้นถืออยู่นั่นแหละ หกสิบมั๊ง  อยู่ได้ตั้งสามวันแน่ะ แต่เราต้องไปเสียค่าเหยียบแผ่นดินลาวด้วยนะ      เออ...  ตรงเนี้ย  ถ้าใครไม่เคยข้ามไปฝั่งลาวนะ  เราต้องจำไว้เลยว่า  เราต้องแจ้งพี่เจ้าหน้าที่เค้าเลยว่าเราจะไปที่ไหน  คือระบุสถานที่ปลายทางให้ชัดเลยนะ   ไม่งั้นอ่ะ  ถ้าเราต้องการเดินทางออกไปเลยจากที่ที่เราแจ้งไว้  จะไม่สามารถทำได้  แล้วมันจะเกิดเหตุการณ์ที่เราต้องวิ่งกลับมาขอขยายพื้นที่ในการเที่ยวของเราออกไป   มันจะทำให้เราเสียตังค์ฟรีนะเจ้าคะ  เช่นหมู่เราเป็นต้น  เราเองไม่รู้ว่าเราต้องการจะไปที่ไหนมั่ง  ทีนี้เห็นคนแถวนั้นเค้าว่าเลยด่านไปประมาณสี่ห้าร้อยเมตร  มีร้านปลอดภาษี  เราก้อเลยเหมาเอาว่า  เออ  ไปแค่นี้พอแล้ว  แต่พอข้ามไปแล้ว  ร้านมันเล็กๆ  ไม่สะใจคนกรุงหยั่งพวกเรา    รถสองแถว  บอกว่าทำไมไม่เข้าไปในตลาด   เราพวกไม่เคยไปก็อยากไปสิ   จึงบอกสองแถวไปว่า  พาเราไปหน่อย  สองแถวบอกเลย  ไปไม่ได้ครับ  เพราะใน border pass พี่ระบุมาแค่ร้านปลอดภาษี   เอาละซิ   ทีนี่ทำงัยอ่ะ  หมู่เราก้อเลยต้องวิ่งกลับไปขอขยายพิ้นที่เที่ยวออกไปอีกหน่อยนึง  เลยต้องเสียตังค์ใหม่ทั้งหมด   แต่เราอ่ะได้ไปกินก๋วยเตี๋ยวอร่อยจังที่ตลาด  ส่วนตัวชั้นอ่ะ ชั้นว่าก๋วยเตี๋ยวบ้านเค้าอร่อย ชั้นชอบก๋วยเตี๋ยวบ้านเค้านะ  หมูสด  เนื้อสดจริงๆ  ถั่วงอกไม่เหม็น  ไม่เหมือนบ้านเรา ชั้นเลย enjoy กะก๋วยเตี๋ยวของชั้นซะเต็มคราบ  คนอื่นกินไม่ได้  เนื่องจากเหตุผลต่างๆ นานา  ขากลับหิ้วไวน์กลับมากันพอสมควร  ร้านปลอดภาษีมีสินค้า copy มากพอสมควร เช่น กระเป๋า มีเข้าตาหลายใบอยู่นะ  เพราะไม่เคยเห็นแบบนี้ในกรุง  แต่คิดว่าน่าจะได้กลับไปซื้ออีกไม่นานนี้แหละ  เลยเอาไว้ก่อน  ใครที่ชอบช็อปปิ้ง  ตรงนี้ถือเป็นแหล่งเลือกชมเลือกซื้อได้ตามอัธยาศัยที่นึงเลยทีเดียว หมู่เราได้แต่ไวน์กลับมา  ปลอมหรือเปล่า  เดี๋ยวขอชิมก่อน  แล้วจะมาเล่าให้ฟัง


เห็นแม่น้ำเหืองมะ  แม่น้ำที่กั้นไทยกะลาว  แคบนิดเดียว  แบบที่เล่าบางช่วงลึกแค่เข่า  เดินข้ามกันสบายใจไทยลาวไปเลย
อีกมุมนึงของวัดฝั่งลาว  เก้าอี้สนามเค้าสวยได้ใจจริงๆ  นั่งเย็นก้นดี ลมพัดลอดผ่านได้  ชั้นเลยแอบถ่ายหลังเณรมาดูเป็นที่ระลึก  วัดนี้  ชั้นแวะเที่ยวเป็นที่สุดท้ายก่อนหมู่ชั้นจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ กัน  วัดน่ารักมากโบสถ์ปิดลงกุญแจอย่างดี  ที่ต้องปิดเพราะเจ้าอาวาสไม่อยู่  เลยเข้าไปกราบพระไม่ได้  แต่ไม่ใช่ปัญหา ชั้นจะมาใหม่อีกที  คอยดู

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น