วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

กันตัง จังหวัดตรัง กับหญิง ณ กันตัง

จำได้ว่าออกเดินทางช่วงสงกรานต์ปี 2553 นะ  กลับมานั่งเขียน blog เอาเมื่อหนึ่งปีผ่านไป แต่ยังประทับใจกับการเดินทางครั้งนั้นแบบไม่รู้ลืม  เราเดินทางด้วยรถทัวร์ออกจากหน้ารามตอนประมาณสองทุ่มได้ของวันศุกร์  รถทัวร์นี้จะเป็นรถของเอกชนที่มารับส่งคนกลับบ้านทางภาคใต้ในช่วงวันหยุดเท่านั้น แต่ต้องมีการจองตั๋ว  ราคาตั๋วเราจำไม่ได้แล้ว แต่น่าจะถูกกว่าของ บขส.บ้างเล็กน้อย และตอนที่ไปนั้น เราได้นั่งที่เบาะยาว แบบโซฟาใต้รถ นึกภาพออกมั๊ย รถแบบสองชั้นที่ข้างล่าง มีโซฟาล้อมเอาไว้นั่งเล่นไพ่ หรือตั้งวงกินเหล้า แบบนั้นน่ะค่ะ นั่นแหละเราได้นั่งกันบนโซฟา
นี่ไง ที่นั่งของเรา ได้ที่ดีมาก หน้าทีวีเลยนะ และนี่คือคนนำทริป เราไปเที่ยวบ้านของน้องคนนี้ "หญิง ณ กันตัง"
            แล้วด้านหลังของโซฟาที่เรานั่ง ก็มีชายหนุ่มหญิงสาวคู่นึง นั่งเบาะคู่กัน ส่วนโซฟาตรงข้ามเราลำบากหน่อย เพราะนั่งสามคน ชายหนึ่งหญิงสอง หญิงหนึ่งมาเดี่ยว หญิงอีกหนึ่งมากับชาย ประคองนอนหนุนไหล่กัน  กว่าจะถึง คงมีใครคนนึง คอหักด้วยความรักแน่นอน  ส่วนเราสองหญิง นั่งเหยียดเท้าเข้าหากัน พอได้หลับในท่าปกติบ้าง  ไม่สบายเท่าไหร่  แต่สบายกว่าโซฟาตรงข้ามแน่นอน  คงพอนึกภาพการเดินทางไปของเราออกแล้วนะคะ
            เราเดินทางถึงกันตังประมาณแปดโมงเช้า  แม่หญิง พลอยหลานสาวจอมแสบ และแนน น้องคนที่สามของหญิงมารับ(เดี๋ยวจะได้เห็นหน้า ครบทุกคนที่เราเอ่ยถึง) แม่พาไปกินข้าวเช้าที่ร้านติ่มซำ ตามสไตล์คนตรัง  ติ่มซำลำเลียงมาให้เลือกแบบละลานตา  แต่เราสำนึกได้อย่างนึงว่า ตลอดทางที่แนนขับรถพาเราเข้าบ้าน  หญิงคุยภาษาถิ่นกับแม่และน้อง ให้ดิ้นเลย  เราฟังไม่ออกเลยซักคำ  ฟังรู้เรื่องแค่คำขึ้นต้น กับคำลงท้ายแค่นั้น แค่นั้นจริงๆ  แต่เราก็เนียนด้วยการพยักหน้าเป็นระยะ  ทำท่าเหมือนเข้าใจไว้ก่อน กลัวเค้าว่าคนกรุงหูไม่ถึง  ได้หญิงแหละ เป็นล่าม  เพราะมันคงรู้ทัน ว่าเราฟังไม่รู้เรื่องเหลยนิ
            บ้านหญิง ณ กันตัง ขายของแบบร้านโชว์ห่วย มีของทุกอย่างขาย กระป๋องพลาสติก ถ้วย ชาม แก้ว โอ๊ยสารพัด  ไม่สามารถแจกแจงได้หมด เราเลยได้ไปช่วยขายของ สนุกมาก ขอบอก ทำงานแลกเบียร์สองป๋องต่อวัน
             แต่ไม่สิ  ไปบ้านเค้าทั้งที  เจ้าของบ้านนักเที่ยวแบบ หญิง ณ กันตังมีหรือจะปล่อยเวลาให้ผ่านไป ที่แรกที่ได้ไปคือ  แต่น แตน แต๊นนนนนน.......ถ้ำเล เขากอบ
             สนุกมาก Amazing สุดๆ  มีอย่างหรอ พายเรือลอดถ้ำ ถ้ำที่ว่าเนี่ย สูงขึ้นไปเหนือหัวแค่ศอกเดียว  ย้ำแค่ศอกเดียว หรือบางช่วงต่ำกว่านี้อีก  ฉะนั้นคนพายเรือพาเราเข้าไปต้องแข็งแรงมาก เพราะไหนต้องพายเรือลอดเข้าไป ไหนจะต้องเอาหลังตัวเองดันผนังถ้ำ เพื่อให้เรือจมลงเพียงพอให้เรือสามารถลอดถ้ำที่เตี้ยแทบจะติดน้ำเข้าไปได้  ไม่ต้องพูดถึงคนนั่งไปแบบเรา ไม่นั่งสิ  นอนค่ะนอน นอนดูผนังถ้ำเฉียดปลายจมูก  ดีนะดั้งไม่มี  ไม่งั้นขูดกะผนังถ้ำไปแล้ว

นี่ไง  ทางเข้าถ้ำ  เห็นหรือยังคะ  นี่ยังเป็นช่วงที่ผนังถ้ำสูงหน่อยนะ ข้างในอ่ะ สุดๆ  ตื่นเต้นมาก จะเราไม่กล้าแม้แต่จะกระดิกตัวเอากล้องขึ้นมาถ่ายเลย คนที่นั่งไปเรือลำเดียวกับเรา ถึงกับบอกว่า เข้าไปแล้วออกมา เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ประมาณนั้นเลย ไม่น่าเชื่อจริงๆ  ว่าเรือจะเข้าไปได้  แบบนี้อยากให้ไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง ตัวเล็กที่หันหน้ามานี่แหละ พลอยจอมแสบ เด็กรสแซ่บ หลานสาวของหญิง
         แล้วที่ต่อไปที่เราไปเที่ยวก็คือ ถ้ำภูผาเพชร  หรือสำเนียงแม่หญิงจะบอกว่า ถ้ำภูผาเผ็ด คนไหนแม่หญิงหรอ คนที่ใส่เสื้อลายทางน้ำตาลนะ นั่งกลางหมู่เลย สองเด็กข้างหลัง พลอยกะ...จำชื่อไม่ได้แล้ว จำได้คือเจ้านี่ อวกตลอดทาง เมารถ คนเสื้อเหลือง นี่น้องสาวคนสุดท้องของหญิง เจ้าจ๋า พูดเร็วมาก ปกติธรรมดาเราก็ฟังไม่ทันและไม่เข้าใจอยู่แล้ว ถ้าจ๋าพูด ไม่ต้องห่วงเลย สนิท ดิฉันใบ้สนิท และนั่นเพื่อนเรา ได้เพื่อนกลับมาอีกคน น้าถั่ว สาวผมยาวหลังค่อนไปทางข้างหลังแม่หน่อยนึง นั่งกินเบียร์เป็นเพื่อนเราตั้งหลายวัน ยิ่งเขียน blog นี้ ยิ่งคิดถึง  ส่วนสาวเสื้อกล้ามดำโชว์ท่อนแขนอวบๆ น่ากัดนั่น ชื่อนิ เป็นน้องสาวหญิงคนที่สอง คนนี่ต้องกราบเลย ขับรถเก่งมาก  ชอบขับรถ ขับจากตรังไปแม่ฮ่องสอนมาหลายรอบแล้ว
        นี่หล่ะมั๊ง เป็นที่มาของคำว่า ถ้ำภูผาเพชร ดูที่พื้นนะ ห้ามดูเท้าเรา  เห็นมะมีเกร็ดเล็กๆ สะท้อนแสงออกมาจากหิน แม่บอกว่าให้เดินย่ำๆ จะได้เหมือนเหยียบเพชร เหยียบพลอย จะโชคดี ร่ำรวย
         ช่องนี้ชูสองนิ้วติดบัตร  ลุงคนนำทางบอกว่า คนมีบุญถึงจะลอดได้ไม่ติด งั้นเราก็มีบุญมากเลยสิ ลอดไม่ติด แถมยังถ่ายรูปติดอีกด้วย   ดูธรรมชาติสิ  กว่าหินงอกหินย้อยมันจะมาบรรจบกันได้ ใช้เวลากี่ล้านปีไม่รู้นะ
หินย้อยรูปหัวใจ  มีดวงเดียว


           กับช่องที่มีแสงลอดเข้ามาในถ้ำ ลุงคนนำทางบอกว่าลักษณะเหมือนหัวใจ พยายามถ่ายรูปออกมาจะได้เอาไปคู่กับหัวใจดวงข้างบน  แต่ถ่ายมุมไหน ก็ไม่ยักกะเหมือน



     

             ถึงตรงปากทางออกแล้ว ดูจากสภาพของแต่ละคน เหงื่อท่วม เราลอดออกมาก่อน ที่เหลือทะยอยตามกันออกมา สภาพทรุดโทรมไม่แพ้กัน  นิ พาเราจึงไปเที่ยวต่อกันที่ น้ำตกธารสวรรค์นะ  หนีร้อนมาพึ่งเย็น  นิว่างั้น  แต่ไม่น่าเรียกน้ำตก หรือเราจำผิดนะ  ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องพายเรือล่องแก่งสายน้ำไม่เชี่ยวมาก เหนื่อย และสนุกไปอีกแบบ  เราทั้งตกน้ำ โดนพายฟาดหัว ตกเรือโดนเรือกระแทก และอีกหลายๆ อย่าง แต่ยังอยากกลับไปอีก จริงๆ

                นี่ภาพก่อนไปพายเรือ ยังพอทนดูได้ สองเด็กแถเล่นน้ำอยู่นั่น น้ำใสไหลเย็นเห็นตีนกู

       กำลังชุลมุน เอ็งไปก่อนสิ เอ็งไปสิ เดี๋ยวแม่ตาม มาพลอยมานั่งลำนี้ อ้าว แล้วไอ้ตัวเล็กอีกตัวไปไหน อ๋อ  นี่นี่นั่งลำนี้  จัดขบวนกันวุ่นวาย เราทำท่าเหมือนจะเก่ง แต่ให้ดิ้นสิ เกือบเอาตัวไม่รอด แบบที่เล่า ทั้งโดนพายฟาดหัว ทั้งพายเรือไปติดแก่ง ขวางทางคนอื่น จนเค้าต้องพายมาชนเรือเรา จนเรือเราคว่ำ แถมเรือที่คว่ำมากระแทกหัวเข้าอีก เอา เอาเข้าไป ซะใจจริงโว้ย

         ทะยอยพายตามๆ กันออกไป ขบวนเรามีน้องคนนึงคอยช่วยนำทาง คอยมาประคองกันให้ไปถึงจุดหมาย นักท่องเที่ยวบางคนไม่อยากพายเอง ก็จ้างน้องๆ เหล่านี้พายให้ก็ได้  แต่มันจะไปสนุกอะไร  มันต้องพายเองสิ  เป็นมั่งไม่เป็นมั่ง ถ้าเราพายเก่งป่านนี้เราไปพายเรือขายของริมคลองไหนไปแล้วสิเนอะ แล้วก็รอดมานั่งเขียน Blog อยู่นี่งัย  จิงมะ

        
             ตรงนี้หาดปากเม็ง  เป็นที่ที่แม่บอกว่า เบื่อมากไม่อยากมา  แม่อยู่กับเลมากทั้งชีวิตแล้วนิ เลยไม่ชอบไปแล้ว  แต่นี่พาเรามากินข้าวนั้น  ส่วนพลอยแสบ  วิ่งตื๋อลงไปเล่นน้ำแล้ว

        ตัวนี้เจอในห้องส้วม   ใช่  ฟังไม่ผิด ในห้องส้วมร้านอาหารที่เราไปกินข้าวที่หาดปากเม็ง ร้านนี้เลี้ยงแมวพันธุ์นี้ไว้หลายตัว แต่ตัวนี้พิเศษชอบนอนให้ห้องส้วม  แล้วดูหน้ามันดิ  ประมาณว่า "กูจะนอน เมิงมาฉี่ไรตอนนี้เนี่ยฮะ  เด๋วปั๊ด  กัดขาแหว่ง"

      
                นี่อีกตัว  ดูสิคะ  เป็นงัยหล่อซะ  จิกตามองข้างเข้าหากล้อง รูมุมดีจริงๆ


           ก่อนนอนคืนนั้น หญิงพาเราไปเที่ยวในตัวอำเภอกันตัง  และเราก็ได้รู้อย่างนึงว่า ต้นยางที่หลวงรัษฎาท่านเป็นคนนำมาปลูกในประเทศไทยจนกลายเป็นพืชเศรษฐกิจเท่าทุกวันนี้ ต้นแรกอยู่ที่นี่ อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง  สำหรับเราปลื้มแทนนะ  เมืองนี้มีประวัติศาสตร์ มีเรื่องเล่าไปได้ชั่วลูกหลาน  นอกจากนี้ยังมีสถานีรถไฟสุดเก๋า  สถานีรถไฟเมืองกันตัง  แต่ทริปนี้เราไม่ได้ไป  เพราะหญิงมันลืม ลืมว่าบ้านมันมีสถานีรถไฟ  เอาสิเอากะมัน
          ฝั่งตรงข้ามที่เห็นป้ายไฟสว่างนั่น โลตัส หนึ่งตำบลหนึ่งโลตัสจริงๆ  และที่นี่ ก็มีเรื่องอีกอันนึงที่เราฟังแล้วยังสะเทือนใจมาจนถึงตอนนี้  คือเรื่องที่ พ.ต.อ.สมเพียร ขอย้ายมาอยู่ที่กันตัง แต่ไม่ได้ย้าย จนกระทั่งเสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่ เราฟังแล้วน้ำตาไหล ใช่ คนใจหมาแบบเราน้ำตาไหล  หญิงขับรถมอเตอร์ไซค์ผ่านสถานีตำรวจอำเภอกันตัง  พร้อมกับเล่าเรื่องนี้ให้เราฟัง ตอนนั้นน้ำตาไหล แต่มันไม่เห็น เพราะเราเป็นคนซ้อนท้าย  ปล่อยให้น้ำตามันไหล ไปพร้อมกับความจริงที่เราต้องทนรับรู้ในประเทศสารขัณฑ์นี้ต่อไป



           กับตู้ไปรษณีย์  และรหัสไปรษณีย์ 92110 อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง อยากรู้จัง ปัจจุบันจะยังมีคนเอาจดหมายมาหย่อนในตู้มั๊ยนะ   อาจจะมี แตเราไม่เห็นก็ได้  ถ่ายรูปนี้มาเป็นที่ระลึก
            วันรุ่งขึ้นเป็นวันสงกรานต์  วันที่ 13 หนุ่มสาวที่นี่เค้าเล่นสาดน้ำกันวันเดียวเท่านั้น วันเดียวจริง เล่นกันเต็มที่ น้ำผสมด้วยสีผลมอาหารนะ สีแสบๆ ส้มบ้าง เขียวบ้าง แล้วแต่จะพอหาซื้อได้ แบบแป้งหรือดินสอพองสีขาวๆ นี่ ไม่สะใจ มันล้างออกง่าย ต้องสีผสมอาหารเท่านั้น จึงจะสนุก มันจะได้ติดทนนานหน่อย เพราะเล่นกันแค่วันเดียวนี่นะ  ไม่เหมือนบ้านอื่นเล่นกันตั้งแต่วันที่สิบได้มั๊ง  อีกอย่างของคนบ้านหญิง คือ การกิน  กินง่ายอยู่ง่าย เราขึ้นรถกระบะ ออกไปเล่นสาดน้ำกันเหมือนบ้านอื่น บนรถมีเด็กเล็กเด็กโต คนแก่แบบเรา น้าถั่ว แล้วลูกสาวน้าถั่ว ที่กำลังสาวสะพรั่ง น่าตาน่ารักน่าใคร่เข้าที ตอนไปเห็น  มะฉุง พี่สาวแม่หญิง  เตรียมข้าวไปด้วยหม้อนึง  เราก็คิดว่า ดีจังเลยเตรียมตัวไปเผื่อเด็กๆ หิว เราเล่นน้ำกันจนสะใจแล้ว สุดท้ายที่แวะไปกันคือที่หาดปากเม็ง  เลยแวะกินข้าวกัน  เราเลยถามออกไปว่า มีข้าว แล้วไหนกับข้าว คิดว่าคงจะซื้อเอาแถวนั้น  ไม่เลยค่ะ  ผิดถนัด  มะฉุงเตรียมมาแล้ว ปลากระป่องค่ะ สามกระป๋อง ตักข้าวแจกกัน ต่างคนต่างจ้วงกินข้าวกับปลากระป๋องกันใหญ่เลย  คนกรุงแบบเราอึ้งไปสิคะ  ไม่นึกว่าเค้าจะกินง่ายกันจริงๆ


         อีกวัน  เราได้มีโอกาสมาเยี่ยมบ้านชาวซาไก  ที่ได้รับการแบ่งสรรพื้นที่สำหรับสร้างเป็นที่อยู่อาศัยแบบถาวร  ไม่ต้องเร่ร่อนอีกต่อไป  จะเข้าไปได้ต้องเดินผ่านสวนยางเข้าไปลึกพอสมควร จะเห็นว่า สภาพชีวิตความเป็นอยู่ตอนนี้ทันสมัยแล้ว ใส่เสื้อผ้าเหมือนชาวพื้นราบทั่วไป แต่ยังคงเอกลักษณ์ของชนกลุ่มน้อยในเรื่องลักษณะของสีผิว และภาษาที่ใช้ จะแตกต่างจากคนตรังอย่างสิ้นเชิง

       
           ขากลับออกมาจากดูหมู่บ้านซาไก อย่างที่บอกไปว่า ต้องเดินผ่านสวนยาง มีคนชอบบอกว่าเรามันผู้หญิงไม่มียางอายกับเค้าเท่าไหร่  เลยอ้าปากรองน้ำยาง เผื่อว่าจะมียางอายกับเค้าขึ้นมาบ้าง  แต่เปล่าประโยชน์  ไม่ได้ผล  ยังเหมือนเดิม หน้าด้านดังเดิม


          อีกวัน  เราไม่ได้ไปไหน  ไปช่วยหญิงกับแม่ขายของที่ร้าน  ไปปัดกวาดเช็ดถูทำความสะอาดร้านกันใหญ่ จัดของเรียงของใหม่ มีคนมาถามซื้อของ เราฟังไม่รู้เรื่องเหลยนิ ต้องฟอร์มเป็นพม่าไปซะ  ตกกลางวันพากันเดินไปซื้อชาเย็น กาแฟเย็น ร้านใกล้ๆ  เจอเจ้าตัวนี้โดนล่ามกับโต๊ะพลาสติกด้วยเชือกแบบที่เห็น แถมโดนทายาม่วงที่ถู  ขำดีว่ะ  ป้าเจ้าของเค้าเล่าว่า มันซน แล้วชอบเกาหูจนขนร่วง เลยต้องเอายามาป้ายซะ  ตอนป้าย  ป้ายแค่หน่อยเดียว  แต่มันเองแหละ  ปาดยาซะเปรอะหน้าเปรอะตากันไป  นี่มันจะรู้ตัวมั๊ยนะ ว่ามันขี้เหร่สุดๆ ไปเลย นังตัวเนี้ยะ  แถมตอนแชะภาพ ทะลึ่งยกขาโชว์จิ๋มเล็ก  พิสูจน์ให้ดูกันชัดๆ ไปเลยว่าชั้นอ่ะ ผู้หญิงนะฮ้า 
               ส่วนอีกอย่างที่คนกรุงแบบเราชอบมาก คืออาหารประจำถิ่นของที่นี่ คือ ก๋วยเตี๋ยวหมี่ซั่วไก่ หรือหมู  สุดยอด ขอบอก หากินที่อื่นไม่ได้  ต้องมาที่นี่เท่านั้น  ที่ตัวเมืองตรัง หรืออำเภอเมืองก็มีขายนะ แต่มันไม่ได้อรรถรส แบบที่ร้านที่กันตัง เรานั่งรอนานมาก คนขายจะทำทีละชาม จะมาสี่คนห้าคน จะสั่งใส่ถุงกี่ถุง ก็จะได้ทีละชาม ไก่ตุ๋น หมูตุ๋น ก็ตุ๋นกันเป็นชามๆ ไป ไม่ตุ๋นรวมกันหลายชาม ถ้าหิวจัด แนะนำไปกินร้านอื่น ไม่งั้นอาจโดดแทะหัวคนข้างๆ ได้  แต่ถึงจะรอนานมาก  แต่รสชาดสุโค่ย  หาที่อื่นเทียบไม่ได้
              นี่ยังไม่รวมแกงส้มนะ  น้ำแกงส้มเปล่าๆ  ราดข้าว สะใจอย่าบอกใครเลย ไม่ต้องมีอะไร แค่ไข่เจียวอีกจาน ราดน้ำแกงส้มลงบนข้าว แปะไข่เจียวลงไปหน่อย ข้าวกี่หม้อก็ไม่เหลือ

         
            แล้วอีกสถานที่นึง ที่เราไปตั้งสองครั้งเชียวนะ วนอุทยานบ่อน้ำร้อนกันตัง ขึ้นชื่อว่าบ่อน้ำร้อน ก็แน่นอนต้องมีที่ให้เราแช่น้ำร้อน  สามารถหย่อนแช่ขาในบ่อกลางแจ้ง ซึ่งเป็นบ่อรวมได้  หรือจะใช้บริการแบบเป็นห้องส่วนตัว  ที่นี่เค้าทำเป็นห้องส่วนตัวๆ เอาไว้ประมาณสิบห้อง ราคาห้องแช่น้ำ เราจำไม่ได้แล้วหรือว่าจะเป็นแบบแล้วแต่ใครจะบริจาคช่วยเหลือ ก็สุดที่จะจำนะ  ขอโทษที  จำไม่ได้จริงๆ  แต่คร่าวๆ  จำได้ลางๆ ว่าถูกมาก  ห้องนึงจุคนได้ประมาณสิบคน ลักษณะห้อง จะมีบ่อกลมตรงกลาง มีที่ให้นั่งหย่อนขา หรือแช่ลงไปได้ทั้งตัว แล้วจะมีท่อน้ำร้อนกับน้ำเย็น เพื่อให้เราเปิดน้ำผสมกันได้  อุณหภูมิของน้ำร้อนน่าจะประมาณสี่สิบถึงห้าสิบองศาได้นะ  เพราะขนาดเราเปิดน้ำเย็นผสมลงไป  น้ำร้อนที่ได้ก็ยังร้อนมาก  วันแรกที่เราไป ห้องเต็ม จึงกลับไปใหม่อีกที  สิ่งที่ต้องเตรียมตัวไปก็คงเป็นพวกผ้าถุง ผ้าเช็ดตัวนะ  ถ้าไปกันเองมันก็อายน้อยหน่อย จะแก้ผ้าอวดกันก็ไม่ใช่ปัญหาของเรา  มันเป็นปัญหาของคนดูตะหาก

      
             หลังจากแช่น้ำร้อนจนหนำใจแล้ว ที่นี่ยังมีบริการนวดท้าด้วย ราคาชั่วโมงละ 150 บาท เป็นชาวบ้านแถวนั้นแหละ  เราเหนื่อยจากแช่น้ำแล้ว  เลยมานอนให้เค้านวดเท้าซะหน่อย ระหว่างนอนนวด มองไปบนเพดานเห็นจิ้งจกมารุมกินโต๊ะแมลงกันบานเลย ลองนับดูสิว่ากี่ตัว แต่วันนั้นเรานับได้สิบเก้าตัว บางตัวหางกุดก็มี

              

               ถัดมาอีกวัน  ก็ถึงเวลาต้องเดินทางกลับแล้ว  ขากลับ นิขับรถกระบะแบบมีแค็บของบ้านหญิงนั่นแหละกลับมาส่ง เรานั่งอัดกันมาในแค็บ ที่นิต้องขับมาส่งเพราะแม่จะต้องมาเอาของที่กรุงเทพฯ กลับไปขาย  นิชอบขับรถ  พอๆ กับชอบเพลินวานมาก  จึงขอเป็นการส่วนตัวเลยว่า "ขอแวะ" ใครไม่แวะให้เดินทางล่วงหน้าไปก่อนเลย   แล้วเราจะขัดคนขับได้มั๊ยล่ะ  เราออกเดินทางจากกันตังประมาณเก้าโมงเช้า  มาถึงเพลินวานประมาณสองทุ่มได้นะ  คนเริ่มบางตา เราเองก็เริ่มตาหรี่  แต่ระหว่างทางสิ่งที่ประทับจมูกเรามาตลอด  คือ ตดของจ๋า  จ๋าเป็นนักตดขั้นเทพ ปล่อยมาตลอดทาง จนเราตอนแรกเหม็นนะ  พอชักบ่อยเข้า  เริ่มชิน จะกลายเป็นหอมไปแล้ว  นี่เริ่มโหยหา  ตดจ๋า  จ๋าคะช่วยมาตดให้พี่ดมให้หายคิดถึงทีสิคะ.....อวกกกกกกกกก
              กลับถึง กทม.  เมืองแห่งความเจริญ ความแก่งแย่งสับสนวุ่นวาย ตอนประมาณเที่ยงคืนกว่าแล้ว เราแยกจากหญิง แม่ นิ จ๋า และพลอยตัวแสบ ที่ถนนรามคำแหง จุดเดิม จุดที่เราขึ้นรถทัวร์ไป จุดเริ่มและจุดส่งท้ายมาบรรจบ ณ จุดเดียวกัน ผิดกันที่ เราต้องขึ้นแทกซี่กลับบ้านคนเดียว แต่ครอบครัวหรรษา เข้าห้องพักของหญิงที่ซอยมหาดไทยพร้อมรอยยิ้ม และความอบอุ่นของคนในครอบครัวเดียวกัน
             ทิ้งไว้ซึ่งความประทับใจของเรา ความประทับใจที่มีต่อคนกันตัง ความเอื้ออารีย์ ความเอาใจใส่ ความมีน้ำใจ ที่ไม่มีเหือดหาย เหมือนน้ำทะเลปากเม็งที่ล้นฝั่งตลอดเวลา  ยังมีเรื่องราวที่เราเล่าข้ามไปอีกหลายอย่าง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะลืมเรื่องเหล่านั้น เราขอเก็บเรื่องราวเล็กๆ นั้นไว้ในความทรงจำที่จะอยู่ในสมองของเราตลอดไป.....คิดถึงกันตัง  คิดถึงคนกันตัง คิดถึงร้านติ่มซำยามค่ำคืน คิดถึงภาพความน่ารักของคนที่เราฟังภาษาเค้าไม่รู้เรื่อง  คิดถึงน้าถั่ว(เพื่อนถั่ว) และอีกหลายๆ คิดถึง คิดถึงมากมาย และตลอดไป

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

ตามมาติดๆ สังขละบุรี ดินแดนแห่งศรัทธา หลวงพ่ออุตตมะ

หลังจากชั้นกลับจากด่านซ้ายได้สองวัน  ญาติที่ชั้นเคารพมากที่สุดก็โทรมาชวนชั้นไปสังขละบุรี  โดยส่วนตัวชั้น  ชั้นมาที่นี่สองครั้งแล้ว แต่ให้ดิ้นสิ   แต่ละครั้งที่ไปทำไมไม่เหมือนกันเลย  ที่ว่าไม่เหมือนกัน เพราะไปกับคนละคน  ครั้งแรกชั้นไปกันสี่สาว ตอนหน้าร้อนเดือนมีนา  ครั้งสองไปตอนหน้าหนาว แต่ที่นี่ก้อไม่หนาวเหมือนบ้านอื่นเมืองอื่นเค้า  กลางวันร้อนมาก มากจริงๆ  ครัังที่สามนี่  มากับญาติฝูงใหญ่ คือมากันหลายคนนั่นเอง  สำหรับเรื่องเล่าถึงสังขละ  ครั้งนี้ชั้นขอเล่าปนๆ กันเลยนะ  คือจะเอาทั้งสามครั้งมายำรวมกันเลย  ที่ยำรวมกันได้เพราะ ไปที่เดิมทั้งสามครั้ง  แสดงว่ามันต้องมีดีอะไรสิ  ถึงทำให้คนแบบชั้นกลับมาเยือนดินแดนนี้ได้ถึงสามครั้งสามครา
             หลวงพ่ออุตตมะ  ศูนย์รวมแห่งศรัทธาอันแรงกล้าของคนไทยเชื้อสายมอญ  คนไทยหลายคนรู้จัก  บางคนมีโอกาสดีที่ได้กราบท่านตอนท่านยังไม่มรณะภาพ ส่วนชั้นได้ไปกราบท่าน หลังจากท่านมรณะภาพแล้วสามปี  ยังจำความรู้สึกปลื้มใจเหลือเกินที่ได้มากราบท่านตอนนั้นได้ไม่รู้ลืม  นั่นคือครั้งแรกของชั้นกับสังขละ สะพานมอญอันเลื่องชื่อว่ายาวเป็นอันดับสองของโลก  ถ้าชั้นจำไม่ผิดประมาณ 850 เมตรนะ สร้างด้วยแรงงานคน วิศวกรไม่ต้องใช้ โย้ไปเย้มา ไม้ที่ใช้ก็ได้มาจากต้นไม้จมน้ำในเขื่อนเขาแหลม  วันนี้สะพานแห่งนี้ได้รับการบูรณะซ่อมแซมเป็นระยะ ให้คงสภาพได้   แบบที่ถ่ายรูปมาให้ดู  สะพานนี้คนที่เคยไปแน่นอนต้องไม่พลาดการไปใส่บาตรตามวิถีชาวมอญ ต้องตื่นตีห้านะ  สำหรับชั้นมาได้ใส่บาตรเอาครั้งที่สาม   แล้วไปที่สะพานฝั่งหมู่บ้านมอญ  ชั้นเรียกตามภาษาชั้นนะ เพราะฝั่งนั้นจะมีอาหารชุดพร้อมบริการนักท่องเที่ยวแบบเราไว้พร้อมแล้ว  พระจะมารับบาตรตอนหกโมงครึ่ง ท่ามกลางสายหมอกตอนเช้าก่อนอรุณจะรุ่ง   สำหรับชั้นครั้งที่สามนี่  ที่ได้ไปใส่บาตรเพราะนอนไม่หลับ สงสัยจะตื้นเต้นตื้นตันเพราะกินเหล้าเยอะเกิน  จึงมีโอกาสได้ไปสัมผัสวิถีชาวพุทธของคนไทยเชื้อสายมอญแบบเต็มที่  เริ่มที่ตลาดเช้าตอนตีห้าครึ่ง ด้วยความพยายามจะวิ่งตามพระเอาข้าวเหนียวหมูปิ้งไปใส่บาตร  ยังกลัวว่าจะได้บุญไม่พอ ยังอุตสาห์ซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งมาอีกชุดใหญ่ เอาไปใส่บาตรที่สะพาน คราวนี้สมใจแล้ว 
อีกมุมของสะพาน ณ วันอากาศเย็น  มองแทบไม่เห็นสะพาน อากาศน่าจะเย็นที่สุดของที่นี่แล้วนะ



          ชั้นกับวัดจมน้ำ  นี่ก็คือวัดของหลวงพ่อท่าน  ก่อนที่จะมีการสร้างเขื่อนเขาแหลม  พอสร้างเขื่อนเสร็จ วัดท่านเลยจมอยู่ใต้น้ำ  แต่ตอนที่ไปไม่จม  เพราะน้ำแห้ง สามารถนั่งเรือหางยาวไปถึง  แล้วไปกระโดดเป็นลิงเป็นค่างแบบนี้ได้เลย  ค่าเรือประมาณสามร้อยนั่งได้สี่ห้าคน  เป็น unseen อีกอันที่ต้องหาโอกาสไปให้ได้ซักครั้งในชีวิต

อิฐมอญของจริง ต้องแบบนี้  ก้อนนี้ตกอยู่ที่พื้นแถวๆ วัดจมน้ำแหละ



ณ ด่านเจดีย์สามองค์  ห่างจากสังขละประมาณยี่สิบโลได้  อ่านจากป้ายเห็นว่าเดิมเป็นกองหินสามกอง เลยทำเป็นเจดีย์ซะ จะได้เด่นชัดขึ้น คนที่ผ่านไปมาจะได้กราบไหว้ได้  อันนี้ คนที่ไม่เคยไปอาจจะ นึกภาพว่าเจดีย์ต้องใหญ่โต    ลองเปรียบเทียบกับตัวชั้นสิ ดูท่าชั้นจะใหญ่กว่านะ  ตรงบริเวณนี้  มีแหล่งชอปปิ้งอีกแล้วจ้า  ใครชอบกล้วยไม้ต้องที่นี่เลย  ตระกูลช้างนะ  มีเพียบ ให้เรียกว่าอะไรดีล่ะ ท่อน ท่อนนึงมีหลายต้น  สามท่อนร้อยเดียว  หรือจะนั่งรถสองแถวไปไหว้พระฝั่งพม่าก็เข้าท่า  แต่มีคำเตือนจากคนปากหมาแบบชั้น  ที่นี่มีร้านขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ร้านนึง  ชั้นว่าชั้นปากหมาแล้วนะ  แต่แม่ค้าหมากว่า อันนี้คอนเฟิร์มเลย  แต่ถ้าใครต้องการสัมผัสรสชาดแปลกใหม่ในชีวิต กินไปโดนด่าไป  แนะนำเลยร้านนี้ พี่สาวพม่าปากหมาขายก๋วยเตี๋ยว ณ ด่านเจดีย์สามองค์  ไม่กล้าขอถ่ายรูปแกมา  กลัว  ตัวเค้าอ่ะกลัว

ห้วยซองกาเรีย  สวรรค์ของคนชอบเล่นน้ำแบบชั้นเลย  อยู่ระหว่างทางกลับจากด่านเจดีย์จะมาสังขละ  ขับรถมาต้องสังเกตหน่อยนึง  ไม่งั้นขับเลยไปซะ  จะอยู่ตรงสะพานเลยนะ  ลงไปจะเป็นแแบบที่เห็นนี่เลย นั่งกินข้าวบนแคร่มีหลังคาไม้ไผ่  แคร่ยิ่นลงไปในน้ำ  น้ำเย็นชื่นใจมาก ลึกประมาณเอวชั้นนะ อาหารอร่อย  ที่สำคัญถูกมากกกกกกก  ชั้นชอบเนื้อแดดเดียว ตามประสา meat lover แบบชั้นอีกแล้ว ก็นี่มัน blog ชั้นนี่นา  ชั้นก้อชอบแบบชั้นดิ
นี่ตอนเย็นพระอาทิตย์จะลานะ  แล้วมาดูตอนเที่ยงๆ  บ้าง  ณ มุมประมาณๆ  เดียวกัน จากชั้นนี่แหละถ่ายรูปไว้เอง


ป้อมปี่  อุทยานแห่งชาติเขื่อนเขาแหลม  ไม่ได้มีดีแค่สถานที่กางเตนท์สวยนะ  ยังเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกแบบนี้  สวยในแบบของตัวเอง คนชอบนอนกางเตนท์ ที่นี่ถือว่าเป็นอีกที่ที่ไม่ควรพลาด 
อันนี้ห้องอาบน้ำไม่มีหลังคา เปิดโล่งท้าลม เย้ยตะวัน ประชันท้องฟ้า แบบหาอุทยานไหนมาเทียบยาก   นอกจากจะมีห้องอาบน้ำแบบเปิดโล่ง  ป้อมปี่ยังมีห้องน้ำแบบมิชิดพร้อมเครื่องทำน้ำอุ่นไว้บริการด้วยจ้า  เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมา เพราะคิดว่าแบบนั้นหาดูได้ทั่วไป
หน้าที่พักที่สังขละ  สำหรับชั้นเรียกว่าระดับห้าดาวกันเลยทีเดียว  ที่พักที่นี่  คือที่ที่ชั้นมาแวะถ่ายรูปตอนมาครั้งแรก  แต่ไม่ได้นอนเพราะเต็ม  ครั้งที่สองคนน้อยหน่อยเลยได้นอน  ตื่นเช้าโผล่ออกมาหน้าห้องจะเห็นภาพนี้เลย   รูปนี้ถ่ายตอนหน้าหนาวเดือนธันวา เวลาน่าจะประมาณแปดโมงเช้า มองไกลๆ เห็นเจดีย์พุทธคยาลิบๆ ลางๆ  ต่างจากหน้าร้อนในรูปถัดไปมากมายนัก


สำหรับครั้งที่สาม  ชั้นเก็บภาพมาน้อยมาก แค่รูปเดียวจริงๆ  เพราะชั้นมัวแต่คิดว่า ชั้นมาหลายครั้งแล้ว ลืมคิดไปว่า การมาแต่ละครั้ง มันให้บรรยากาศที่ไม่เหมือนกันเลย ถึงแม้จะมานั่งอยู่ตรงมุมเดิม ที่เดิม  แต่ครั้งนี้ที่ไปจะใกล้กับประเพณีสงกรานต์ของชาวมอญ  ก็เห็นวัยรุ่นหนุ่มสาว สาดน้ำกันสนุกสนาน ไม่ต่างจากที่อื่น  จะมีก็ตรงที่การรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่นะ   ชาวบ้านเค้าจะเอารถน้ำที่วิ่งสาดน้ำกันจนสะใจแล้ว ประมาณสี่โมงเย็น  รถทุกคันจะมารวมตัวกันที่บริเวณวัด  แล้วจะไปเรียกผู้ใหญ่ที่ตัวเองเคารพให้มานั่งหลังกระบะรถนั่นแหละ  แล้วลูกหลานก็พากันรดน้ำกันใหญ่  ไม่ใช่รดเบาๆนะ  แต่ที่เห็นมันเรียกราดถึงจะถูก  และมีการก่อเจดีย์ทราย เราไม่ค่อยเข้าใจประเพณีการก่อเจดีย์ทรายของเค้าเท่าไหร่  แล้วก็ไม่รู้จะถามใคร ได้แต่ยืนมองชาวบ้านที่มีจิตศรัทธาช่วยกันขนทรายมาก่อเป็นเจดีย์ชั้นๆ ใหญ่มากนะ แต่ละชั้นกั้นด้วยไผ่ลำใหญ่ๆ กั้นทรายแต่ละชั้นไม่ให้ทลายลงมา ผู้ใหญ่ขึ้นไปยืนเดินบนชั้นทรายแต่ละชั้นสบายเลย ได้แต่จูงมือกับป้าสองคนกำดอกไม้เสียบใส่ทางมะพร้าวที่ซื้อมาจากเด็กน้อยบนสะพาน  เอามาเสียบไว้ที่เจดีย์ทรายแบบงงๆ  แล้วเดาเอาว่า เค้าคงทำกันแบบนี้ ป่านนี้ดอกไม้ชั้นคงโดนเหยียบมิดไปแล้ว  เพราะตอนนั้นเจดีย์เค้ายังก่อไม่เสร็จเลย  คนเดินขึ้นเดินลง  แต่ชั้นคิดว่าไหนๆ  มาแล้ว ก็เอาซะหน่อย วันก่อเจดีย์จริงน่าจะวันที่ 17 นะ แต่เรากลับก่อน อยากอยู่จนได้เห็นประเพณีสรงน้ำพระด้วยจัง เพราะเห็นชาวบ้านช่วยกันเตรียมงาน แบบไม่มีเหน็ดเหนื่อย ช่วยกันเจาะช่องไม้ไผ่  ทำทางน้ำสำหรับสรงน้ำพระ ยาวมากๆ  น่าสนุก  เห็นแล้วปลื้มใจในพลังศรัทธาของกลุ่มชนชาวมอญของหลวงพ่อ  กลับมาชั้นไม่ลืมที่จะจดลงปฏิทินไว้ว่า ปีหน้าชั้นจะไปให้ตรงกับเทศกาลสงกรานต์ของชาวมอญอีกครั้งให้ได้

สังขละ ต่างเวลา ต่างมุมความสวยงาม.........

ทริปแรกหลังว่างงาน ด่านซ้าย เลยไปเล้ยยยยย ชะรอยจะตกหลุมรักเมืองเลย

        และแล้ววันนึงเราก้อได้รับจดหมายบอกเลิกจ้างอ่ะ   ฉบับแรกในชีวิต  แต่แปลกแฮะ  ไหงชั้นกลับไม่รู้สึกเสียใจเลยวะ  กลับรู้สึกดีใจซะงั้น  ก็จะไม่ให้ดีใจได้งัย  เรากำลังเป็นอิสระแล้วนี่หว่า  ดีเลย  ชั้นจะไปเที่ยว เที่ยว เที่ยว แล้วก้อเที่ยว   เที่ยวตามแบบของชั้นนะ
        ชั้นไปเที่ยว  เที่ยวจนหลายคนอิจฉา  มันก็คงจะจริงแหละ เพราะตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ชั้นเที่ยวมาแล้วทุกจังหวัด  แต่มะก่อนชั้นไม่มีกล้องถ่ายรูปแบบเด๋วนี้   และที่สำคัญชั้นมันดันไม่ค่อยชอบถ่ายรูปซะด้วยดิ   แต่ต่อไปนี้สัญญาด้วยเกียรติลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ หมู่นกแซงแซวเลยว่า ชั้นจะถ่ายรูปทุกที่ที่ชั้นไป  ถึงแม้จะไปเป็นครั้งที่สามสี่  ชั้นก้อจะถ่ายรูปกลับมา  เอามาประกาศให้ชาวประชา เค้าอิจฉาเล่น
        เริ่มด้วยทริปนี้ดีกว่า  ชั้นขอเรียกทริปนี้ว่า  ทริปมั่วๆ สั่วๆ ตามเค้าไปแล้วกัน
การเดินทางสู่เมืองสุดขอบชายแดนไทยลาว ระยะทาง 555 กม. เมืองด่านซ้าย จังหวัดเลย ดินแดนแห่งผีตาโขน ดินแดนแห่งสัจจะและไมตรี เนี่ยเดือนมิถุนายนของทุกปี เทศกาลแห่ผีตาโขน หรือ Halloween Thailand  น่าไปเห็นด้วยตาเป็นอย่างยิ่ง ชาวบ้านแถวนั้นเล่าให้ฟังว่า สนุกกว่าสงกรานต์หลายเท่า สำหรับชั้นจะมีอะไรสนุกไปกว่าสงกรานต์อีกนะ  แต่ชาวบ้านก็ยังไม่เลิกที่จะย้ำกับชั้นว่า  นี่เลย  แห่ผีตาโขน  สนุกมาก   รับรอง.......มีเหรอคนหยั่งชั้นจะพลาด
       ที่จริงชั้นไปที่นี่มาแล้วครั้งนึงนะ  ปีก่อน  ใช่สิปีก่อน  เรื่องครั้งแรกที่ไปเอาไว้ก่อน  เอาครั้งที่สองนี้ก่อนแล้วกัน  เพราะครั้งแรกต้องระลึกนานหน่อย  ครั้งนี้ชั้นไปนั่งนอนเมาอยู่ที่ด่านซ้าย นานอาทิตย์นึงพอดี  แต่ละวันคนที่นำพาชั้นไป(ชายเสื้อชมพู นี่แหละไกด์นำเที่ยวทริปนี่ของชั้น โอเล่ ผอ.รร.บ้านปากแดง ไม่ใช่หลวงพ่อปากแดงนะคะ เพราะขอหวยไม่ได้  เจ้าของบ้านใจอารีย์  เปิดบ้านให้เรานอนยุงกัดตั้งหลายวันอีกด้วย)  เค้าก้อพยายามพาชั้น และหมู่ไปตรงนั้นตรงนี้  เท่าที่เค้าจะสนใจ และนึกออก  ว่าบ้านเค้ามีอะไรน่าไปเที่ยวบ้าง  จริงๆ แล้ว การที่ชั้นมีโอกาสได้ไปกับเค้าด้วยในครั้งนี้ ต้องยกเครดิตให้เพื่อนชั้นคนนึงนะ ที่เค้าตัดสินใจว่าจะ "ไป" แทนที่จะบอกว่าไม่ไปตามความคิดแว่บแรกของเค้า  เด๋วว่างๆ  ชั้นจะเอารูปเพื่อนคนนี้ของชั้นมาให้ดู....
        สองสามวันแรก  อาจจะค่อนข้างผิดหวังเล็กน้อยสำหรับหมู่เรา  เพราะตอนไป  ตั้งใจกันมากเลยว่าจะข้ามไปบ้านพี่เมืองน้องของเรา ฝั่งลาวงัยจ๊ะ แต่จนแล้วจนลอด หมู่เราก้อข้ามไปไม่ได้ เพราะ ฝนตก จำได้มั๊ยคะ ฝนที่จู่ๆ  มันก้อตก  จู่ๆ  อากาศหนาว นั่นแหละ สาเหตุที่ทำให้หมู่เราข้ามไปเหยี่ยบดินแดนพี่น้องเราไม่ได้  แขวงที่เราต้องการจะไปคือแขวงไชยบุรี  ซึ่งมีเสียงบ่นๆ  จากคนเสื้อชมพูมาให้ได้ยินเป็นระยะว่า  จริงๆ  แล้วเป็นดินแดนของไทยนะ   จึงเป็นเหตุให้คนเสื้อชมพู  ต้องคิดกะบาลแทบแยกว่าจะพาเราไปไหนดี
        เล่าเรื่องดินแดนติดไทยดีกว่า  ด่านซ้าย ไม่มีด่านขวา เพราะทางขวาเป็นเขา และที่สำคัญเป็นเขาที่ปีนไม่ได้  เพราะ "เขาไม่ให้ปีน" ฮุ ฮุ ฮุ  ขำป่าววะ ด่านซ้ายดินแดนติดลาว แค่เดินข้ามแม่น้ำเหืองความลึกประมาณเข่า  แค่นี้ก้อเดินเข้าไปเที่ยวเมืองลาวได้แล้ว  แต่เราจำไม่ได้แล้วดิว่าติดลาวเมืองอะไร บริเวณนี้เลยเป็นแหล่งทำมาค้าขายของไทยกะลาว ได้แก่ บ้านน่าข่า บ้านนาหว้า ตรงนี้เป็นจุดผ่อนปรนให้คนไทยขนของไปขายที่ลาว และให้ฝั่งลาวเอาของมาขายที่ไทย  ชั้นอ่ะ ที่อยากไปกะเค้าทริปนี้จริงๆ แล้วตั้งใจจะไปกินเบียร์ลาว(เบยลาว)เท่านั้น  เท่านั้นจริงๆ 





         ไปด่านซ้าย แน่นอนต้องไปแวะพิพิธภัณฑ์ผีตาโขน  ชั้นถ่ายรูปคู่กะตุ๊กตาผีตาโขนเด็ก ระหว่างชั้นกะผีตาโขน  ตัวไหนน่ารักกว่ากัน...  ฮะว่างัยนะ  อ๋อ..ผีตาโขนน่ารักกว่า  มะมาใกล้ๆ  ขอจุบุจุบุสามทีรวด

         เห็นพาหนะที่ชั้นนั่งยิ้มแป้นถ่ายรูปมานี่มั๊ย  เค้าเรียกรถอีแต๊ก เป็นรถที่เอาไว้ใช้เกี่ยวกับทุกกิจกรรมในการเกษตร แถมดีกว่ารถของชั้นเองอีกด้วยนะ เพราะมันขับขึ้นเขาชันๆ หรือตะลุยเข้าไปในท้องไร่ท้องนาที่ขรุขระมากๆ ได้สบายเลย นึกภาพออกมะ  แบบที่ไม่เรียกว่าถนนอ่ะ นี่แหละ มันสามารถพาชั้นและหมู่ขึ้นเขาไปดูไร่ข้าวโพดของชาวบ้านเค้า แต่เสียดายนะตอนที่ไปถึง  ไร่นี้เค้าเก็บเกี่ยวไปหมดแล้ว  เลยเห็นแต่ตอข้าวโพด  ถ้าสังเกตดีๆ ใต้ล้อ
         นั่นอ่ะ  หน้าชั้น แต่ที่เห็นเขียวๆ ข้างๆ นั่นคือ แมคคาเดเมีย แบบลูกสดๆ  ยังไม่ได้กระเทาะเปลือก แบบที่ยังอยู่บนต้น  ตรงนี้ถ้าจำไม่ผิดนะ เป็นโครงการตามรอยพระราชดำริของในหลวง  เค้าทดลองปลูกแมคคาเดเมีย สาลี่ และพืชเมืองหนาวอีกหลายอย่าง แล้วมีการเพาะเลี้ยงสัตว์ด้วยนะ  แบบไก่ชี สีขาวจั๊วะ ไก่แจ้ หรือไก่พันธ์พื้นเมือง  เพื่อเอาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์แจกชาวบ้านที่สนใจเอาไปเลี้ยงขยายพันธ์ต่อได้  ดีจิงวุ๊ย  อยู่ต่างจังหวัด  ปลูกผักเอาไว้กินเองก็ได้ จะเลี้ยงไก่ เป็ด ก็ไปขอพ่อพันธุ์แม่พันธุ์มา เพื่อนมาบ้านก็เอาเป็ดไก่นั่นแหละมาทำกับข้าวเลี้ยง  ชาวบ้านนี่น่าอิจฉากว่าคนกรุงเยอะนะ

          นี่บรรยากาศรอบบ้านที่พัก  ก็บ้านของคนเสื้อชมพูงัยจ๊ะ หมอกลงหนามาก จะเล่าอีกอย่างคือ ด่านซ้ายเป็นอำเภอที่เป็นช่องลม ลมจึงพัดเย็นตลอดปี  กลางคืนต้องนอนห่มผ้าทุกวัน บ้านทุกบ้านสิ่งที่ขาดไม่ได้คือผ้าห่ม  และเบาะนอน   ฉะนั้น หน้าหนาวจึงหนาวมากที่สุดในประเทศไทย ก็ที่นี่แหละ ด่านซ้าย จังหวัดเลย
             นี่ภาพจากภูสวนทราย  วันนั้นหมอกลงมาก จึงมองเห็นภูอะไรต่อมิอะไร ที่ชั้นจำไม่ได้ ไม่ค่อยชัด  ชั้นว่าถ้าใครอยากรู้ว่า ภูที่เห็นลิบๆ ตรงนั่นเรียกว่าภูอะไร  ชั้นพาไปดีกว่า  ที่นี่สามารถพักค้างแรมได้นะ  สำหรับคนชอบนอนเตนท์  บรรยากาศดีมาก สวย 240 องศาเลยทีเดียว

พระธาตสัจจะ  ชอบที่นี่จัง  ในโบสถ์มีให้หยอดตู้ทำบุญตามวันเกิด  พอหยอดเหรียญลงไป  จะมีเสียงสวดให้พรจากพระดังออกมา  ชั้นเลยหยอดพร้อมกันทีเดียวเจ็ดวัน  เผื่อเพื่อนที่ไม่ได้ไปด้วย  เสียงสวดให้พรดังแข่งกันเซ็งแซ่  เนี่ยนั่งอยู่นี่ยังได้ยินเสียงสวดลอยมาแว่วๆ  อยู่เลย  แต่ที่สังเกตอย่างนึง  เสียงสวดของวันอาทิตย์จะยาวที่สุดเลย  ไม่รู้ทำไม

และสุดท้าย  ท้ายสุดวันสุดท้ายก่อนกลับ  หมู่เราก็ตัดสินใจเดินไปเหยียบฝั่งลาวกัน  เพราะทนฟังเสียงรบเร้าจากชั้นไม่ไหว   ตรงนี้ท่าลี่  ด่านพรหมแดนข้ามไปลาวทางแขวงไชยบุรี   เดี๋ยวนี้ทันสมัยแล้ว  คนไทย(หน้าลาวแบบชั้น)ที่ต้องการข้ามไปลาวนะ  แค่จำเลขที่บัตรประชาชนให้ได้แค่นั้น  แล้วไปบอกพี่เจ้าหน้าที่เค้า  เค้าก้อจะจิ้มๆ หาในทะเบียนราษฎร์  แค่นี้ก้อได้ border pass  ข้ามไปเหยียบแผ่นดินลาว  เสียตังค์ค่าธรรมเนียม เป็นค่าจิ้มๆ  และพิมพ์กระดาษ แบบที่ชั้นถืออยู่นั่นแหละ หกสิบมั๊ง  อยู่ได้ตั้งสามวันแน่ะ แต่เราต้องไปเสียค่าเหยียบแผ่นดินลาวด้วยนะ      เออ...  ตรงเนี้ย  ถ้าใครไม่เคยข้ามไปฝั่งลาวนะ  เราต้องจำไว้เลยว่า  เราต้องแจ้งพี่เจ้าหน้าที่เค้าเลยว่าเราจะไปที่ไหน  คือระบุสถานที่ปลายทางให้ชัดเลยนะ   ไม่งั้นอ่ะ  ถ้าเราต้องการเดินทางออกไปเลยจากที่ที่เราแจ้งไว้  จะไม่สามารถทำได้  แล้วมันจะเกิดเหตุการณ์ที่เราต้องวิ่งกลับมาขอขยายพื้นที่ในการเที่ยวของเราออกไป   มันจะทำให้เราเสียตังค์ฟรีนะเจ้าคะ  เช่นหมู่เราเป็นต้น  เราเองไม่รู้ว่าเราต้องการจะไปที่ไหนมั่ง  ทีนี้เห็นคนแถวนั้นเค้าว่าเลยด่านไปประมาณสี่ห้าร้อยเมตร  มีร้านปลอดภาษี  เราก้อเลยเหมาเอาว่า  เออ  ไปแค่นี้พอแล้ว  แต่พอข้ามไปแล้ว  ร้านมันเล็กๆ  ไม่สะใจคนกรุงหยั่งพวกเรา    รถสองแถว  บอกว่าทำไมไม่เข้าไปในตลาด   เราพวกไม่เคยไปก็อยากไปสิ   จึงบอกสองแถวไปว่า  พาเราไปหน่อย  สองแถวบอกเลย  ไปไม่ได้ครับ  เพราะใน border pass พี่ระบุมาแค่ร้านปลอดภาษี   เอาละซิ   ทีนี่ทำงัยอ่ะ  หมู่เราก้อเลยต้องวิ่งกลับไปขอขยายพิ้นที่เที่ยวออกไปอีกหน่อยนึง  เลยต้องเสียตังค์ใหม่ทั้งหมด   แต่เราอ่ะได้ไปกินก๋วยเตี๋ยวอร่อยจังที่ตลาด  ส่วนตัวชั้นอ่ะ ชั้นว่าก๋วยเตี๋ยวบ้านเค้าอร่อย ชั้นชอบก๋วยเตี๋ยวบ้านเค้านะ  หมูสด  เนื้อสดจริงๆ  ถั่วงอกไม่เหม็น  ไม่เหมือนบ้านเรา ชั้นเลย enjoy กะก๋วยเตี๋ยวของชั้นซะเต็มคราบ  คนอื่นกินไม่ได้  เนื่องจากเหตุผลต่างๆ นานา  ขากลับหิ้วไวน์กลับมากันพอสมควร  ร้านปลอดภาษีมีสินค้า copy มากพอสมควร เช่น กระเป๋า มีเข้าตาหลายใบอยู่นะ  เพราะไม่เคยเห็นแบบนี้ในกรุง  แต่คิดว่าน่าจะได้กลับไปซื้ออีกไม่นานนี้แหละ  เลยเอาไว้ก่อน  ใครที่ชอบช็อปปิ้ง  ตรงนี้ถือเป็นแหล่งเลือกชมเลือกซื้อได้ตามอัธยาศัยที่นึงเลยทีเดียว หมู่เราได้แต่ไวน์กลับมา  ปลอมหรือเปล่า  เดี๋ยวขอชิมก่อน  แล้วจะมาเล่าให้ฟัง


เห็นแม่น้ำเหืองมะ  แม่น้ำที่กั้นไทยกะลาว  แคบนิดเดียว  แบบที่เล่าบางช่วงลึกแค่เข่า  เดินข้ามกันสบายใจไทยลาวไปเลย
อีกมุมนึงของวัดฝั่งลาว  เก้าอี้สนามเค้าสวยได้ใจจริงๆ  นั่งเย็นก้นดี ลมพัดลอดผ่านได้  ชั้นเลยแอบถ่ายหลังเณรมาดูเป็นที่ระลึก  วัดนี้  ชั้นแวะเที่ยวเป็นที่สุดท้ายก่อนหมู่ชั้นจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ กัน  วัดน่ารักมากโบสถ์ปิดลงกุญแจอย่างดี  ที่ต้องปิดเพราะเจ้าอาวาสไม่อยู่  เลยเข้าไปกราบพระไม่ได้  แต่ไม่ใช่ปัญหา ชั้นจะมาใหม่อีกที  คอยดู