วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กะหล่ำปลีผัดน้ำปลาสูตรเกงอู

            เข้าหน้าหนาว  มาลองหากับข้าวสู้อากาศหนาว  จะกินเปล่าๆ  กินกับข้าวสวยร้อนๆ หรือกินแกล้มเบียร์ก็แหล่ม ไวน์แดงก็ดี  ขาวก็ได้ ขอให้ไวน์รสชาดออกฝาดเล็กๆ ตามด้วยเปรี้ยว  หรือวิสกี้โซดาน้ำ ก็แล้วแต่ใครจะชอบแบบไหน  แต่เราชอบทุกรายการที่กล่าวมา ลองทำดู  ทุกคนทำได้  อาจารย์เท้าสาก คู่แข่งอาจารย์ยิ่งสากรับรอง
            จั่วหัวว่า  จะทำกะหล่ำปลีผัดน้ำปลา  แน่นอนต้องมีกะหล่ำปลีสีเขียวนะ  พืชชนิดหนึ่ง ที่บางครั้งมีหน้าที่แค่ประดับโต๊ะอาหาร เอาไว้กินกับอาหารอีสาน จริงๆ มีผักอีกเยอะ แต่มันเหี่ยวเฉาง่าย สู้กะหล่ำไม่ได้ กะหล่ำเลยเป็นแพะ เพราะทน ไม่เหี่ยวเฉาง่าย เก็บได้หลายวัน  แต่ผักชนิดนี้บางคนไม่ชอบกิน บอกว่ามันจะไปดึงแคลเซี่ยมในร่างกาย ทำให้เป็นคอหอยพอกบ้าง หรือทำให้เป็นหมันบ้าง   บ้างก็ว่าสารเคมีตกค้างเยอะ   แล้วแต่ใครจะอ่านตำราเล่มไหน  แต่เราไม่ได้อ่านเลยซักเล่ม  เพราะชอบไปสั่งกินทุกครั้งที่อ่านเจอในเมนู  แล้วที่สำคัญบางร้านขายจานละหนึ่งร้อยบาท แม่น...ร้อยบาทต่อจาน...อย่าปล่อยให้เค้าทำรายได้ฝ่ายเดียวเลย   มาลองทำกินเองบ้างดีกว่า....ลุยยย
          
            1. วัตถุดิบ  ประกอบด้วย
            1.1  กะหล่ำปลีเขียวครึ่งหัว หัวใหญ่หัวเล็กก็แล้วแต่ปริมาณคนที่มีในบ้าน บางบ้านคนเยอะ ก็หัวใหญ่  บางบ้านคนน้อยก็หัวเล็ก  ปรับกันเอาตามความเหมาะสม  ที่บอกว่าครึ่งหัว เพราะถ้าทำกะทะแรกรสชาดห่วย  ยังมีโอกาสแก้ตัวกับครึ่งหัวที่เหลือนะเจ้าคะ  หั่นครึ่งหัว แล้วหั่นแบ่งออกเป็นสี่ส่วน  ถ้าไม่เข้าใจ  แค่หั่นให้มันแยกออกจากกันแค่นั้น  แล้วแช่น้ำล้างให้สะอาด ผึ่งทิ้งไว้ให้แห้ง ย้ำนะว่าให้แห้ง  ดูภาพประกอบโลดเด้อค่า โฟกัสกะหล่ำนะคะ  มองข้ามกะละมังไป


                  
            (เทคนิคการเลือกกะหล่ำปลี  คือให้เลือกหัวหนักๆ  ผิวมันๆ แสดงว่ายังสดอยู่ อาจจะเพิ่งลงมาจากภูทับเบิกก็ได้ แอบหวังนะ ถ้าหัวขนาดเท่ากันแต่เบาหวิว ก็เอาวางไว้ที่เดิมแบบซิงกูลาร์(เบา เบา) ไม่งั้นแม่ค้าจะส่งเสียงที่เราไม่อยากฟังมากระแทกหู)
            1.2  น้ำมันพืช 5 ช้อนโต๊ะ อันนี้อย่างก  อย่าห่วงสุขภาพมากจนวิตกจริต  บอกแล้วเมนูแก้หนาว ไม่ใช่มนูรักษาสุขภาพ น้ำมันพืชกินได้  ไม่งั้นเค้าจะทำมาขายเราทำถ้วยอะไร  ของทอดบางอย่างอมน้ำมันมากกว่านี้อีก ใส่น้ำมันมากหน่อย ผัดผักออกมา ผักจะหวานกรอบอร่อย  แม้ยามที่เย็นชืดแล้ว ถ้าจะถามว่า ใช้ยี่ห้ออะไรดี  ตอบเลย...แล้วแต่ที่มีอยู่ในบ้าน ก็ถ้าตอบว่ายี่ห้อเสิ่นเจิ้น...มิต้องวิ่งไปหาถึงจีน หรองัยคะคุณๆ
             1.3  น้ำปลาดี หนึ่งช้อนโต๊ะ อาจบวกเพิ่มได้อีกครึ่งช้อน ถ้าคุณใช้กะหล่ำหัวใหญ่ และน้ำตาลหนึ่งช้อนชา  หรือถ้ามันยากนัก  ใช้วิธีกะๆ  เอาก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าไม่แม่นมากพอ  แนะนำตวงเอาเหอะนะ  ไม่ยากเลย...ช้อนโต๊ะก็ช้อนกินข้าว  ช้อนชาก็ช้อนกาแฟแหละ  แล้วเอาสองอย่างนี้ผสมรวมกันในถ้วยเล็กๆ คนให้ละลายเข้ากันพอประมาณ  ตอนเทลงกะทะจะง่ายขึ้น   ในรูปเป็นกระปุกน้ำตาล  และขวดน้ำปลาที่บ้านเราเอง


             1.4  กระเทียมแกะเปลือก ทุบพอแตก ปริมาณแล้วแต่ชอบ วันนี้เราใช้กระเทียมไทยเม็ดเล็กฉุนดีนักแล พอผัดสุกกินติดไปกับผัก บอกเลยสุดยอด......




            2. มาลงมือทำกันเถอะ........
          
             2.1  เอากะทะตั้งไฟ เปิดไฟเตาแก็สแรงสุดเท่าที่เตาแก็สคุณจะทำได้  เทน้ำมันพืชลงกะทะ  รอจนน้ำมันร้อน  ขนาดไหนเรียกว่าน้ำมันร้อน  ก็จนกว่าหน้าคุณจะรู้สึกร้อนผ่าวๆ  นั่นแหละ  ใส่กระเทียมบุบลงไปก่อน

            2.  ตั้งสติ  เตรียมหยิบกะละมังกะหล่ำไว้ในมือ  กะทะร้อนเต็มที่  เทกะหล่ำลงไปในกะทะ  เติมน้ำสะอาดลงไปเล็กน้อย ย้ำนะเล็กน้อย ฟังเสียงผักกับกะทะสู้กัน เสียงดังเปรี๊ยะ ปร๊ะ  เปรี๊ยะ ปร๊ะ อย่าตกใจ แบบนี้แหละดี เอาตะหลิวคนกลับกะหล่ำของเราซักสองสามหน
            3.  เทน้ำปลาน้ำตาลลงไปเลย  แล้วก็ผัดๆ  กลับไปมาไม่ต้องมาก ดูให้กะหล่ำยุบลงเล็กน้อยพอ(อายกะทะว่ะเฮ้ย)
 
              4.  พอแล้ว  คนพอแล้ว  ขนาดดิบยังกินได้เลย ผักพอสลบพอแล้ว  ตักใส่จานเลยจ้า


            ตะเกียบพร้อม ไวน์พร้อม เบียร์พร้อม แก้วเหล้าพร้อม ข้าวสวยร้อนๆ พร้อม เอ้าลุยยยยยยย.....
เค็มนิด  หวานหน่อย  มันติดปลายลิ้นปะแล่มๆ  กินตอนร้อนๆ  หรือเย็นแล้ว  ก็อร่อย....คอนเฟิร์ม...ฟันธง...
แต่ถ้าไม่อร่อย  แนะนำให้กลับไปอ่านข้อ 1.1 สามรอบ
            สาธุ...ด้วยความสงบสุข  และได้โปรดติดตามตอนต่อไป
          

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เที่ยวใกล้ๆ สไตล์ประหยัด เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์

            ห่างหายไปพักนึงเลย สำหรับเรื่องเที่ยว เที่ยว แล้วก็เที่ยว   คราวนี้ ไปแบบนอนพักซักคืน ไม่รีบไม่ร้อน ใกล้  ไม่แพง ไม่วุ่ยวาย ใครที่มองหาที่พักเงียบๆ ราคาประหยัด จะไปทั้งครอบครัวใหญ่ ก็ทำได้ หรือจะไปแบบเพื่อนฝูงเอะอะเฮฮาก็สามารถเช่นกัน ที่นี่เลย เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ตั้งอยู่ ณ บ้านหนองบัว อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี การเดินทางก็ใช้ถนนหมายเลข 21 เรามาทางนี้ ขนาดเราชอบขับรถหลง เรายังมาถูก พวกท่านน่าจะเก่งกว่าเราแน่นอน  หรือบางคนจะเลือกไปกับการรถไฟแห่งประเทศไทยก็ได้นะเจ้าคะ แต่ไม่แน่ใจว่า จะเป็นแบบไปเช้าเย็นกลับ หรือไม่  จะได้อรรถรสไปอีกแบบ นั่งรถไฟไปบนสันเขื่อน ที่เคยเห็นใครเค้าถ่ายรูปมาโพสต์ไว้เยอะแยะ รถไฟวิ่งไปบนเขื่อน ...
             ระหว่างทาง  ตามประสาคนชอบเข้าวัด(วัดก็เข้า เหล้าก็กิน เพื่อนก็คบ) ไปแวะวัดนึง ชื่อวัดป่าธรรมโสภณ  อยู่ในเมือง วนๆ หา จากพระปรางค์สามยอด ไม่ไกลกันเท่าไหร่  ชื่อวัดป่าแต่อยู่ในเมืองนะจ๊ะ

            
             แล้วนี่ร้านอาหารริมน้ำ อันนี้ไม่ได้ตั้งใจลืมชื่อร้านนะ ลืมจริงๆ  ถ้าจำได้จะใช่การเดินทางของอุ้ยมั๊ย  มันต้องลืมสิ  ถึงจะใช่อุ้ยตัวจริง เอาไว้ไปใหม่ จะไปจำมาบอกนะจุ๊  มีปลาจริงมาว่ายวนเวียน รออาหารปลา จำได้ว่าถ่ายเป็นคลิป แต่ไหงมันกลายเป็นภาพนิ่งๆ ไปแล้ว



              ที่พำนักของเราคืนนี้  คือที่ของ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์  ที่นี่มีกิจกรรมให้คนไม่ชอบอยู่นิ่งๆ หรือแค่เปลี่ยนที่กินเหล้า ทำหลายอย่างอยู่เหมือนกัน เช่น มีจักรยาน(ของใครไม่รู้) เอามาปั่นให้ตื่นเต้นเล่น เพราะกลัวเจ้าของเค้ามาตาม หรือจะไปนั่งรถชมวิวเขื่อนก็เจ๋ง รถออกตามเวลา มีคนมายืนรอเข้าคิวกันหลายคน หรือจะไปเดินช็อปปิ้ง เพื่อเป็นการกระจายรายได้ ก็ยิ่งดี  สินค้าที่ขายมีหลายประเภท ให้เลือกซื้อได้ตามความชอบของแต่ละคน  เสียดายตอนที่ไปนั้นเราลืมถ่ายรูปมาให้ดู เราซื้อ ลูกหว้า..ใช่แล้ว...ลูกหว้าลูกใหญ่มาก ขายเป็นกระทง กระทงละสิบบาท  ผลไม้สุดโปรดของคนกรุงหยั่งเราเลย  หากินง่ายๆ ซะที่ไหน  รู้จักมั๊ยเอ่ย  ผลไม้ลูกกลมรีๆ  สีม่วงเข้ม  สุกแล้วรสหวานๆ  ถ้ายังสุกไม่เต็มที่จะออกฝาดหน่อยๆ พอให้รู้สึกสากๆ ฟัน  กินไปเยอะๆ  ยิ้มมาทีเห็นฟัน กะเหงือกสีม่วงๆ เรามันไม่ใช่ประเภทต้อง Up รูปลงเฟซบุคก่อนกินทุกครั้งซะด้วยสิ เลยฟาดซะหมดเลย นึกขึ้นได้อีกที เหลือแต่เม็ดสีขาวอมชมพู ปนน้ำลายแหนะๆ  มันน่าดูซะที่ไหน

             มาดูที่พักกันดีกว่า(ว่าแต่ว่า เอาที่พักของเค้ามาให้ดูเนี่ย เราได้ค่าโปรโมทป่าววุ๊ย  เอาแค่ครั้งต่อไป  ไปพักอีก  ลดให้ครึ่งนึงก็ดีแล้ว เอ้า....ตื่นๆ  ฝันไปถึงไหนแล้ว)


             นี่งัยจ๊ะ  ที่พำนัก  หน้าบ้านมองเห็นวิวเขื่อน  หลังบ้านก็สวยไปแพ้กัน แต่คืนนี้เราใช้หลังบ้านทำกับข้าวกับอย่างสนุกสนาน

              เป็นไงสวยสงบเงียบอย่างที่บอกมั๊ย  เสียดาย  น้ำตรงนี้จะลงไปเล่นลำบากหน่อย เพราะบริเวณริมเขื่อนเค้าใช้ก้อนหินก้อนใหญ่เททับๆ กัน  จะลงไปต้องใช้ความกล้ากระโดดออกไป ไม่งั้นหลังกระแทกหิน  แต่ถ้ามันต้องดิ้นรนขนาดนั้น นั่งดูน้ำจะสุขใจกว่านะ


            เพื่อเป็นการยืนยันว่าริมเขื่อนมันลงไปยาก หินก้อนใหญ่ๆ ทั้งนั้น  แต่ในขบวนที่เราไป ก็มีคนลงไปนะ  แต่ต้องใช้วิธีที่บอก  คือ กระโดดออกไปให้ไกลที่สุด

          
            บรรยากาศวับแวมยามค่ำคืน กลมๆ เล็กข้างล่างนั่น คือแสงไฟจากบ้านเรือน ส่วนกลมๆ เล็กบนฟ้านั่น พระจันทร์  วันที่ไปเป็นคืนข้างแรม เลยได้เห็นพระจันทร์แหว่งไปเล็กน้อย ไม่กลมสุกใสเหมือนคืนเพ็ญ
            ขากลับ หมู่เรามาแวะที่ไร่กุสุมา  แวะจริงๆ  แค่แวะมาถ่ายรูป แค่นั้น
          
            ยังคงเอกลักษณ์น้ำใสไหลเย็น  น่าโดดเล่นเป็นยิ่งนัก เหมาะมากสำหรับคนรักการเล่นน้ำ แนะนำที่นี่เลย  หรืออยากจะทำกิจกรรมท้าทายการตกน้ำ แบบปีนบันไดเชือก ไต่สะพานโยกเยก มีให้เลือกเยอะเลย หรือจะนอนเล่นน้ำหน้าห้องพัก เอาท่อนล่างแช่น้ำ ก็เพลินนะ
            เอาแล้ว เขียนเชียร์มายืดยาว ต้องลองไปเองแล้วจะรู้  ค่าห้องพักก็ไม่ได้แพงจนจ่ายกันไม่ไหว แต่คงต้องโทรจองก่อนแหละ เพราะไปทีไรเห็นคนเต็มทุกที


            แถมให้อีกรูป  แอบถ่ายเด็กๆ นักศึกษาเล่นน้ำกัน  คงต้องจบทริปนี้ที่นี่  ที่ไร่ของเมีย"จเด็ด"  ไม่แก่จริง ไม่รู้นะเนี่ย ไปหาคำตอบเอาเองแล้วกัน  หมู่เรากลับบ้านด้วยความอิ่มเอม
          
            เริ่มด้วยวัด ซัดมาเขื่อนป่าสัก พักบ้านบริการนักท่องเที่ยว  อยากเสียวก็ลองโดดน้ำริมเขื่อน อย่าลืมเลือนแวะหาภรรยา จเด็ด  เสร็จแล้วกลับบ้านบานหทัย...ชะเอิงเอย  หนอยแม่...
          

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

ความทรงจำดีๆ ที่ยากจะลบเลือน

         ก่อนอื่นต้องขอบอกกล่าวล่วงหน้าว่า เรื่องราวต่อไปนี้ขอเขียนเพื่อละลึกถึงผู้ชายหนึ่งคน ที่บังเอิญผ่านเข้ามาในชีวิต  และทิ้งความทรงจำที่ดีๆ เอาไว้  ซึ่งตราบจนชีวิตเรายังไม่สิ้น เราคงไม่มีวันลืมชายผู้นี้ได้แน่นอน  อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ว่าผ่านเข้ามาในฐานะแฟน หรือคนรัก หรือกิ๊ก เอาล่ะ...เริ่มเลยดีกว่า
        ขอเล่าท้าวความหลังว่าเรารู้จักผู้ชายคนนี้ได้อย่างไร  เรารู้จักผู้ชายคนนี้จากความที่เค้าเป็นน้าของเพื่อนรักคนนึงของเรา  เค้ามีเมีย และลูกที่น่ารัก  อัธยาศัยดีมาก  เราชอบในความซื่อตรงไปตรงมา ชอบก็บอกชอบ ไม่ชอบก็เก็บเงียบไว้  ใช้วิธีเลี่ยงๆ  ไม่พูดให้เสียบรรยากาศ  ไม่น่าเชื่อว่า เพียงแค่ครั้งเดียวที่เราได้รับการเชิญชวนจากเพื่อนรักเราให้ร่วมทริปไปเยี่ยมญาติของเพื่อนที่บ้านหนองคัน อำเภอแก้งคร้อ ชัยภูมิ  ซึ่งแน่นอนในทริปนี้มีชายคนนี้ไปด้วย  หลังจากนั้น เราเองรู้สึกผูกพันอย่างบอกไม่ถูก  ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ญาติแท้ๆ และรู้จักกันครั้งแรกก็ทริปนี้แหละ  ชายผู้นี้  เราขอเรียกตามเพื่อนเราว่า "น้าป๊อด"
        น้าป๊อดมีภรรยาชื่อ น้าปุก มีลูกชายคนนึงชื่อ อ๋อง เล่าเพื่อให้เห็นภาพลางๆ ของครอบครัวนี้  คงเหมือนครอบครัวทั่วไป ที่เมียคอยปรนนิบัติทั้งสามี และลูกในทุกเรื่อง ยิ่งเรื่องกินนะ  รับรองว่าไม่มีขาดตกบกพร่อง ฝีมือทำกับข้าวนับได้เลยว่าไม่เป็นสองรองใคร  เรื่องอื่นก็ไม่เป็นรอง ใช้่ชีวิตด้วยกันแบบนี้มานานหลายปี ยิ่งก่อนที่จะมีลูกด้วยนะ ต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานับประการมาด้วยกันมากมายจนเล่าไม่หมด น้าป๊อด เป็นผู้ชาย ที่เป็นชายไทยแท้ๆ  รับผิดชอบลูกเมีย ชอบดื่ม มองโลกในแง่ดี เพื่อนฝูงมากมาย งานอดิเรกชอบตกปลา ไม่ชอบสร้างความเดือดร้อนให้ใคร ที่สำคัญ เกรงใจทุกคนรอบข้าง  เราเล่าเหมือนเป็นญาติสนิทก็มิปาน แต่เรารับรอง  เราเพิ่งจะรู้จักครอบครัวนี้มาไม่นาน..ไม่นาน..จริงๆ
       หลังจากได้ร่วมทริปไปบ้านหนองคัน แก้งคร้อ  ชัยภูมิ  เราก็เหมือนมีญาติสนิทเพิ่มขึ้นมาอีกครอบครัวนึง  จากนั้นไม่นาน เราได้รับโทรศัพท์จากน้าปุก มาชวนเราร่วมทริปไปจันทบุรีด้วยกัน...วันนั้นเราเซอร์ไพรซ์มาก  เรารีบโทรถามเพื่อนเรา  แต่ได้รับคำตอบว่า น้าปุกน้าป๊อดชวนเรา  แต่ไม่ชวนเพื่อนเราไปด้วย  จะด้วยเหตุผลอะไร  ณ วันนั้นเราก็ไม่ได้ถาม แต่เราตอบตกลงทันทีว่าเราจะไปด้วย...ง่ายดีมั๊ย...ใช่...นี่แหละนิสัยเรา....เรื่องชวนเที่ยว...รีบตอบรับทันทีไม่มีพลาด แล้วยิ่งไปกับคนคอเดียวกัน  จะพลาดได้ไงจริงมั๊ย
        เราออกเดินทางจากบ้านน้าป๊อดที่แถวๆ พรานนกตอนเช้า  เก็บข้าวของขึ้นรถนิสสันคันเก่าๆ แบบมีแค็บคันเก่งของน้าป๊อด ซึ่งตอนหน้าของรถนั่งแบบขดๆ  กันเล็กน้อย ได้ประมาณห้าคน รวมคนขับ ทริปนี้ครบพอดีห้าคน  กระบะหลังต่อช่องแอร์  มีหลังคาไฟเบอร์ พื้นเป็นเบาะนั่งนอนสบาย แต่คราวนี้จะไปนั่งตอนหลังคงลำบากเพราะของที่ขนไปด้วยเยอะมาก  แล้วก็มีกระติกน้ำแข็งสีน้ำเงินใบใหญ่ ที่วางในตำแหน่งที่ถูกออกแบบมาแล้วอย่างถาวร  เอาไว้แช่อุปกรณ์สร้างความบันเทิง ตามประสาคนชอบดื่ม
        อย่างที่บอกไว้  ทริปนี้เราไปจังหวัดจันทบุรี แถวๆ อุทยานแห่งชาติเขาคิชกูฎ  ขาไป  เราเลยแนะนำให้แวะไปที่  ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จันทบุรี  ซึ่งครั้งนึงเราเคยไปที่นี่กับขบวนนิด้า   เมื่อครั้งที่เราต้องไปศึกษาดูงาน แล้วต้องเอาแนวคิดดีๆ ของโครงการนี้มาต่อยอดเพื่อนำเสนอเป็นแนวทางสำหรับทำรายงานส่งอาจารย์นั่นเอง  แต่อีกส่วนนึงคือ ความสวยงามของสถานที่  ที่ทำเป็นสะพานไม้ทอดยาวไปบนผืนป่าชายเลน  โดยที่ไม่ตัดต้นไม้ต้นใดออก ถ้าสะพานสร้างไปชนต้อนไม้ต้นไหน  ก็จะเลือกใช้วิธีเจาะสะพานแทนการตัดต้นไม้ทิ้ง  มีสะพานไม้ความยาวประมาณ 800 ร้อยเมตร นับว่าเป็นจุดที่มีคนชอบไปถ่ายรูป  ภาพรวมจัดสถานที่ไว้อย่างลงตัว ซึ่งถ้าใครต้องการท่องเที่ยวพร้อมๆ กับได้ความรู้ไปพร้อมๆ กัน รับรองต้องชอบที่นี่แน่นอน

              สองข้างทางระหว่างที่เดินไป  จะห็นต้นโกงกาง ต้นแสม(สะ-แหม) หรือต้นอะไรอีกหลายอย่างแต่จำชื่อไม่ได้  เมื่อก้มลงมองลงไปที่รากต้นไม้จะเห็น สัตว์น้ำตัวเล็กตัวน้อยที่ใช้รากโกงกางเป็นที่พักหลบ จนโตได้ขนาดก็จะว่ายลงทะเลให้ชาวประมงจับมาขายพวกเราต่อไป  ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง ปลา แมงดาทะเล ตัวน้อยๆ รวมถึงปลาตีน ที่ดูเริงร่า กับบ้านที่ไม่มีมสนุษย์มารบกวน  แม้อากาศจะดูอบอ้าวบ้าง แต่ระหว่างทางที่เดินไป มันให้ความรู้สึกอิ่มสมอง และอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก


 

           อย่างที่เล่าไปแล้ว ภาพนี้ยืนยันอีกครั้ง ต้นไม้สำคัญกว่าสะพาน เลือกที่จะเจาะสะพานซึ่งยาก แทนที่จะตัดต้นไม้ออกไปซึ่งทำง่ายกว่า  แล้วดูสะอาดตากว่ามากมายนัก  ภาพแบบนี้มีให้เห็นได้ตลอดระยะทางประมาณ 2กิโลเมตร ที่เราเดินไป

             ระหว่างทาง  มีเก้าอี้ยาวให้พอได้นั่งพักเหนื่อย  ทุกจุดพักมีไว้ให้หวนนึกถึงคำพ่อหลวงที่ท่านพยายามสอนเราให้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ อย่าฝืนธรรมชาติ เมื่อใดเราฝืนธรรมชาติ ธรรมชาติจะทำทุกวิถีทางสั่งสอน  หรือขจัดเราออกไปทันที

          กับภาพครอบครัวที่ทาบทับด้วยกิ่งต้นแสมโกงกางอายุหลายร้อยปี  ขอรักของครอบครัวนี้จงอยู่ในใจเราเท่าอายุต้นไม้

           เราออกจากป่าชายเลนของในหลวง  มายังจุดหมายปลายทางของเราคือ เข้าร่วมงานแต่งงานของลูกสาวของชายใส่เสื้อลายแดงที่เห็นในภาพ  เราเรียกชื่อพี่เค้าตามน้าป๊อดว่า"พี่เหลา"  พี่เหลาพื้นเพเป็นคนกรุง  แต่ไปได้ภรรยาเป็นคนจันทบุรี มีไร่อยูติดกับอุทยานแห่งชาติเขาคิชกูฏ  เมื่อเกษียณจึงไปตั้งรกรากกับภรรยา ทำไร่ทำสวน มีบ้านหลังใหญ่ ให้ลูกๆ และเขย นอกจากนั้นยังปลูกกระต๊อบหลังเล็กๆ อยู่ติดน้ำตก ให้เพื่อนฝูง หรือญาติอันเป็นที่รักไปพักอาศัยค้างแรมได้ตามอัธยาศัย  ติดกระด๊อบหลังนี้ รายล้อมไปด้วยต้นทุเรียน มะไฟหวาน เงาะ และอื่นๆ  ช่วงที่ไปเป็นช่วงที่มะไฟ แลทุเรียนกำลังออกลูก ยังสุกไม่ได้ที่  จึงได้เพียงเก็บภาพมาให็ดูแค่นั้น


          ใกล้แค่เอื้อมคือมะไฟ  ถัดออกไปคือกระต๊อบ เลยจากกระต๊อบอีกนิดเดียว  จริงๆ ต้องบอกว่า กระต๊อบหลังนี้ยื่นลงไปในน้ำตกถึงจะถูก

          น้ำตกใสเย็นไหลเรี่ยๆ อยู่ติดกับบ้านที่เราใช้เป็นที่พักกันคืนนี้  บรรยากาศดีแบบโรงแรมแปดดาวที่ไหนก็สู้ไม่ได้


        
            ลากันด้วยภาพก่อนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไป  กัยร่องรอยความทรงจำที่หวนให้ละลึกถึงชายคนนึงที่เกริ่นไว้ตั้งแต่แรก "น้าป๊อด" ชายผู้ซึ่งทำให้เราบอกตัวเองตลอดเวลาว่า เมื่อเราละสังขารณ์จากโลกใบนี้แล้ว เราจะเหลืออะไรไว้ให้คนข้างหลังระลึกถึงเราบ้าง มีเพียงความดี และความเลวเท่านั้น ที่จะทิ้งไว้ให้คนข้างหลังเอ่ยถึง  แต่สำหรับชายผู้ที่ชื่อ "ป๊อด" คนนี้  เราหวนระลึกถึงแต่ความดีของเค้าเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าจะประทับตราอยู่ในใจเราชั่วนิรันดร์
             ขอมอบภาพที่เห็นทั้งหมดนี้  และจิตที่ยังคงระลึกแด่ "น้าป๊อด" ขอความดีของน้าจงสถิตย์อยู่ในใจของเรา....
  

วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ชวนบนบาน ณ ดินแดนวีรชนคนกล้า ค่ายบางระจัน สิงห์บุรี

            วันนี้จะพาออกเดินทางไปจังหวัดใกล้กรุงเทพฯ  ด้วยระยะทางประมาณร้อยกิโลได้นะ ขับรถถ้าไม่หลง  ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงโดยประมาณ  จุดหมายปลายทางคือ วัดโพธิ์เก้าต้น จังหวัดสิงห์บุรี การได้ไปไหว้พระสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่นับถือแล้ว  งานนี้ยังมีจุดประสงค์หลักคือ  จะไปบนบานศาลกล่าว  ส่วนจะขอเรื่องอะไร  แล้วการแก้บนจะแก้ด้วยอะไร เรื่องที่ขอจะสำเร็จหรือไม่  ติดตามอ่านได้ในการเดินทางครั้งนี้เลยจ้า
            ขบวนเราหกคน หน้าสองหลังสี่ ผู้ใหญ่ห้า เด็กอีกหนึ่ง เขียนให้ดูเหมือนไปกันหลายคน จริงๆ  แค่หกคนนั่นแหละ  เดินทางออกจากกรุงเทพฯ ประมาณแปดโมงเช้า มุ่งหน้าสู่จังหวัดสิงห์บุรี ด้วยเส้นทางตามป้ายบางปะอินทร์  ผ่านอยุธยา  เลี้ยวเข้าสิงห์บุรี ขับตรงมาตามถนนหมายเลข 3032 ก่อนจะถึงวัดโพธิ์เก้าต้น จะผ่านวัดพระนอนจักรสีห์จะผ่านไปเลยคงไม่ดี   เอ้าแวะกันก่อน


            วันที่เราไป  องค์พระอยู่ระหว่างการปิดทองใหม่ทั้งองค์ จึงเห็นนั่งร้านตั้งระเกะระกะอยู่โดยรอบ แต่ถึงจะมีนั่งร้านตั้งอยู่  ก็ไม่ทำให้คลื่นศรัทธาของคนไทยลดน้อยลงเลย

           บริเวณที่ทางวัดจัดไว้ให้เป็นบริเวณสำหรับกราบพระ  มีงาช้างของสูงค่า ที่ท่านเจ้าอาวาสท่านได้สะสมไว้  ตั้งไว้ให้ประชาชนได้สักการะหลายคู่

               ไม่ได้มีแต่พระนอนเท่านั้น  พระปางยืนพุทธลักษณะต่างๆ  ก็มีให้กราบไหว้ หรือปิดทองอีกหลายองค์

                บางส่วนของพระพุทธรูป  ที่เรียงราย  โดยรอบองค์พระนอน  บริเวณนี้ห้ามปิดทอง เผยให้เห็นเนื้อแท้ๆ  ของพระพุทธรูป  แสดงถึงความเก่าแก่ได้แม้ไม่มีความรู้เรื่องของเก่า  ควรค่าแก่การสักการะ และอนุรักษ์อย่างยิ่ง


              กับบางมุมที่ได้รับความสนใจจากคนที่เดินผ่าน  เป็นมุมของสะสม ที่ท่านเจ้าอาวาสท่านได้เก็บไว้ และนำออกมาแสดงให้ประชาชนทั่วไปได้ชม  มีเหรียญเก่า  แบงค์เก่า เครื่องถ้วยชามเบญจรงค์  มุมนี้ถ้าใครรู้จัก หรือเคยได้ใช้แบงค์ หรือสตางค์ ที่แสดงไว้มากกว่าห้าแบบขึ้นไป  บอกได้เลย อายุสี่สิบขึ้นแน่นอน  ตัวเราก็คนนึงแล้ว

               ชี้ชวนกันดู  แบงค์นี้เราทัน  ใบนั้นก็ทัน  นี่ที่บ้านก็มี  อันนี้ก็ด้วย  ใบนี้เคยใช้  นี่แบงค์ห้าบาทหรอ  เออ....แก่กันครบถ้วนยกแกงค์....ฮุฮุฮุ

            ตรงทางเดินเข้าโบสถ์  จะมีพระสังกัจจายน์  ใบหน้ายิ้มแย้มแก้มกลม  ให้ผู้รักการทำบุญหยอดเงินใส่สะดือ หรือจะใส่ในบาตรที่ตั้งไว้ก็ตามอัธยาศัย

          ด้านนอก  ทางวัดจัดให้เป็นบริเวณศึกษาวิถีชีวิตไทย  จะนั่งรถไฟไปชมวัดใกล้เคียง หรือจะแค่เดินเที่ยวก็เข้าท่า  บริเวณนี้มีวัว และควาย มาต้อนรับดุจญาตมิตร  รอให้เราป้อนหญ้า เจ้าตัวนี้ดูท่าจะอายุมากแล้ว สังเกตจากเขา  ยาวและโค้ง  น่าจะหนักด้วยนะนั่น  ส่วนคนที่กำลังป้อนหญ้าให้ควาย สองคนนั่น  คนนึงอดทนเหมือนควาย  อีกคนน่าอนุรักษ์ไว้เหมือนควายเช่นกัน  ถ้าสองคนนั่นมาอ่าน คงปลื้มใจ สรรเสริญคนเขียนน่าดู

         
            เอาถ่ายรูปให้แม่กะพ่อหน่อย  ดูสิ  ระหว่างควายกับพ่อ  ใครจะถ่ายรูปขึ้นกว่ากัน  ไม่ต้องตอบก็ได้ ภาพมันฟ้องทนโท่

            ด้านนอกของวัดมีตลาดขายสินค้า พวกน้ำพริก ไข่เค็ม และอีกหลายอย่าง มีห้องน้ำสะอาดให้บริการด้วยนะ   คนรักการซื้อของฝากทั้งหลาย  สามารถเดินหาซื้อติดไม้ติดมือกันได้  ซื้อของกันแล้ว เดินทางต่อกันดีกว่า

             ออกจากวัดพระนอน  ตรงดิ่งมาที่วัดโพธิ์เก้าต้น  วัดนี้สำคัญมากตรงที่เคยเป็นที่ตั้งของค่ายวีรชนบ้านบางระจัน  ที่น้าแอ็ดร้องเป็นเพลงว่า
             "  บางระจัน บางระจัน บางระจัน มิอาจยืนอยู่ถึงวันเพ็ญเดือนสิบสอง"  นับถึงวันนี้ก็หลายร้อยปีผ่านมาแล้ว แต่วัตถุประสงค์หลักของเราที่มาที่วัดนี้มิได้อยู่ที่ประวัติอันควรค่าแก่การจดจำนี้   บอกตั้งแต่ต้นแล้ว  ว่าเรามาที่วัดนี้ทำไม  อย่าช้าใย  ไปทำตามความตั้งใจก่อน

            พระอาจารย์ธรรมโชติ  หรือหลวงปู่ธรรมโชติ  ที่พึ่งของชาวบ้านบางระจัน  ความศักดิ์สิทธิ์ของท่านมิได้สิ้นสุดไป ณ วันที่ค่ายบางระจันแตก  แต่ยังคงความศักดิ์สิทธิ์มาจนถึงวันนี้  ที่วัดนี้  จะมีรูปหล่อของท่าน จากรูปที่เห็น องค์เล็กๆ ทางขวามือสุด  และถ้าเดินถัดออกไปก็จะมีศาลของท่าน ที่สร้างขึ้นตามมาทีหลัง มีรูปเหมือนของท่านประดิษฐานอยู่  จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ในวัดแล้ว  บอกเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า ถ้าจะมาขอ มาบน  ขอให้กราบท่านที่องค์รูปหล่อนี้   อย่ารอช้า  ดอกไม้ธูปเทียนด่วนจี๋ 

          บรรจงจุด  กราบ  และตั้งจิตขอจากท่านกันตามความต้องการของแต่ละคน ใครใคร่ขอ ขอ  ใครใคร่ไหว้อย่างเดียว ก็ไหว้  ไม่ว่ากัน

           มีบทสวดตัวโต  มองเห็นเด่นชัด ไม่ต้องเพ่ง ตั้งจิตอธิษฐานกันดีๆ  จะได้ตามคำขอกันถ้วนหน้า  แต่อย่างที่บอก  ไม่ใช่ว่าจะขอจากท่านข้างเดียว  ควรจะต้องมีบางอย่างมาทำให้ท่านด้วย หรือเรียกว่า แก้บนนั่นเอง

        บ่อน้ำมนต์  หรือบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์  ตามประวัติว่า เมื่อครั้งที่ชาวบ้านในระแวกบางระจันอพยพหนีภัยสงครามมาอยู่กันในค่ายเป็นจำนวนมาก และกองกำลังชาวบ้านเหล่านั้น เช่น นายจันทร์ หนวดเขี้ยว นายทองเหม็น ซึ่งเป็นแนวหน้าต้อสู้ต้านทหารพม่า ซึ่งเข้าตีค่ายบางระจันหลายครั้ง ทำให้พระอาจารย์ธรรมโชติปลุกเสกน้ำมนต์ไม่เพียงพอกับปริมาณคน  ท่านจึงได้ใช้บ่อน้ำนี้ทำเป็นน้ำมนต์  เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการ  และที่ผ่านมาก็พบว่า น้ำในบ่อนี้ไม่เคยแห้ง อาจจะมีบางเดือนที่ปริมาณน้ำลดลงบ้าง
        นี่จึงเป็นจุดที่ใครก็ตามที่มากราบขอสิ่งใดจากพระอาจารย์ธรรมโชติ จะทำการแก้บนด้วยการไปตักน้ำใส่ คุถัง หรือถังน้ำพลาสติกสองใบ  มีคอนสำหรับวางบนบ่า   และต้องตักให้เต็มถังทั้งสองใบด้วย  จึงจะถือว่าแก้บนถูกต้อง  ระยะทางในการหาบน้ำต่อเที่ยว จากบ่อด้านหลังใกล้ป่า  จนเดินมาจนถึงบ่อศักดิ์สิทธิ์  ก็ตกประมาณสองร้อยเมตรกว่าๆ  เดินไปเดินกลับตกห้าร้อยเมตรต่อเที่ยว  ทั้งนี้การแก้บน อาจจะจ้างหาบน้ำก็ได้  มีน้องๆ หนุ่มๆ สาวๆ แถวนั้นรับจ้างหาบ อัตราการจ้างเราลืมถามมาว่าคิดเท่าไหร่  หรือจะหาบเองก็แล้วแต่  จำนวนในการหาบขึ้นอยู่กับว่า จะบอกกล่าวกับหลวงปู่ไว้อย่างไร  และที่สำคัญ  เมื่อแก้บนเสร็จแล้ว จะต้องมาลงทะเบียนที่สมุดที่ทางวัดจัดไว้ด้วย  เพื่อเป็นการบอกแจ้งแก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า  เราได้ทำตามที่บอกไว้เสร็จสิ้นแล้ว  จะได้ไม่มีการมาตามทวงกันทีหลัง  ประมาณนั้นนะ  ฟังจากเจ้าหน้าที่ของทางวัด ที่พยายามประกาศให้คนที่มาขอ หรือมาแก้บนได้รับรู้กันทั่วๆ

             ไม่ไกลจากองค์หลวงปู่ธรรมโชติ  จะมีศาลดวงวิญญาณของบรรพชนผู้กล้า ที่สละชีพเพื่อปกปักษ์รักษาแผ่นดิน  มาถึงตรงนี้  ทำเอาเราสะท้อนหัวใจ  กว่าเมืองไทยจะผ่านร้อน ผ่านหนาวมาจนถึงวันนี้  ต้องมีผู้ที่ต้องสละชีพเพื่อปกป้องเอาไว้กี่ชีวิตกันแล้วนะ  แล้วพวกเราล่ะ  ทำอะไรกันอยู่
             ติดกับศาลบรรพชน  มีรูปปั้นควายที่ใช้เป็นพาหนะในการออกรบ   วัดก็ให้ความสำคัญมาก  มากพอที่เราสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องแสดงความเคารพ  โดยสามารถบูชาด้วยหญ้า ที่มีให้บริการโดยบริจาคเงินตามกำลังศรัทธา ในบริเวณใกล้กันนั่นเอง

            พากันเดินข้ามไปฝั่งตรงกันข้ามกับวัด  เพื่อสักการะอนุเสาวรีย์วีรชน  ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงมาเปิด  หลายปีมาแล้ว

             อนุเสารีย์ตั้งเด่นเป็นสง่า  น่าเคารพมาก  ยิ่งยืนมองสีหน้าของวีรชนแต่ละท่านนานเท่าไหร่  ก็ยิ่งทำให้เรารู้สึก และรับรู้ได้ถึงความเสียสละของท่าน  ที่เพียงแค่พวกเรามากราบไหว้  คงไม่เพียงพอ หรือได้เศษเสี้ยวของความเสียสละของท่านเหล่านั้นเลย

            ผ่านความซาบซึ้งปนความรู้สึกยิ่งรักประเทศไทยมากขึ้นอย่างบอกไม่ถูก  เราออกเดินทางกันมาต่อที่วัดพิกุลทอง  ซึ่งระหว่างทางที่ขับรถเข้ามาจะมองเห็นพระสีทององค์ใหญ่ได้แต่ไกล  แต่อาจจะไม่ใหญ่เท่าองค์พระที่วัดม่วง ของอำเภอวิเศษชัยชาญ  อ่างทอง  แต่องค์นี้ก็นับว่าใหญ่ไม่แพ้กันเลย

                เงยหน้าขึ้นมองฟ้า ก็ให้ตะลึงกับภาพที่เห็น พระอาทิตย์ทรงกลด ทาบทับองค์พระ ทำให้องค์พระดูขลัง และสวยงามมาก  มีบางคนเคยบอกไว้ว่า  ถ้าเห็นพระอาทิตย์ทรงกลดให้อธิษฐานขอ จะได้สมความปรารถนา  เราก็ขอนะ  แต่ขอความกล้า ที่จะคิด ทำ และพูดแต่ในสิ่งดีๆ  แล้วนี่มากราบพระด้วยนะ  คำอธิษฐานยิ่งส่งผลเร็วขึ้นอีก  จะเป็นคนดีแล้วเรา

               รอบวัดมีสัตว์ปูนปั้น  ตัวนั้นตัวนี้  แต่ตัวนี้พิเศษ  ที่เห็นนั่นคงพอดูออกว่าเป็นเสือ  ช่างทาสี  เค้าจะตั้งใจ วาดลายเสือแบบนี้หรือเปล่า หรือจะเพราะวาดลายเสือไม่เป็น    เอาเลย วาดรูปดาวมันซะเลย ได้เสือดาวแล้วนั่นไง  ดูดิ  ดาวเต็มเลย  มีสี่ตัวด้วยนะ  ตัวหน้านี่  ดาวน์น้อยผ่อนนาน ถัดไป ดาวน์แล้วไม่ผ่อน ตัวสุดท้ายสีดำด้วยนะ

                ติดแบลกลิสต์กันเลยก็แล้วกัน

           คิงคองมั๊ยนะตัวนี้  แต่ที่รู้  ตัวผู้ชัวร์  หลังจากถ่ายรูปนี้เสร็จ  เห็นทางวัดเอาแอลกอฮอล์มาราดฆ่าเชื้อกันเป็นการใหญ่  แถมมีได้ยินเสียงบ่นลอยมาอีกว่า ของเค้าสะอาดดีๆ  มากอดจูบลูบคลำซะหมองหมดเลย  ของวัดก็ไม่เว้น

         
             แน่ะดู  ว่าแล้วยังไม่หยุด  มาอีกละ   ต้องเอาแอลกอฮอล์ไปเช็ดอีกละ  ไอ้ตัวนี้มาหนักเลย เอาสีผิวมาตกใส่คิงคองอีก  ดูสิ  ดำเลย

            เหนื่อยเหน็ดจากการถ่ายรูป  ก็แวะมาให้อาหารปลากัน  ซื้อขนมปังวัดมากปอนด์นึง แบ่งกันหกคน ค่อยๆ โยนให้ปลา  โยนแรงไม่ได้นะ  ขนมปังมันจะปลิวหายไปหมด  ไม่ตกถึงน้ำ  เปล่าน่า  อันนี้ล้อเล่น ใช่ที่ไหน  ปอนด์นึง แบ่งกันกินครึ่งนึงก่อน ที่เหลือค่อยให้ปลาสิ  อิอิอิ
            หลังวัดบริเวณที่เป็นที่พักสงฆ์  จะมีตลาดร้านค้าขายสินค้าของฝากอีกแล้ว  แต่ตรงนี้จะเด่นก็เรื่องปลาร้า  มีหลายแบบ ทั้งปลาร้าเป็นตัวๆ หรือจะปลาร้าสับดิบ หรือผัดสุก ก็มีให้เลือก  แต่มีอันนึงที่เราแนะนำนะ ถ้ามีโอกาสผ่านไปคือ ห่อหมก ห่อละยี่สิบบาท จะมาขายวันหยุดเสาร์อาทิตย์  อร่อยมาก เครื่องแกงหอม เผ็ดพอดี กินกับข้าวร้อนๆ หยดน้ำปลาหอมๆ ลงเล็กน้อย อร่อยที่สุด เขียนไปนี่  ยังน้ำลายไหลหยดลงคีย์บอร์ด
            เอาละ  วันนี้พอเท่านี้  เราเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ ด้วยเส้นทางเดิม มาแวะซื้อกุ้ง  หอยนางรม และหอยแครงตัวใหญ่มาก เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู  นานๆ จะได้เจอหอยแครงไซค์นี้  หายากแล้ว ตัวโตขนาดนี้ ที่ที่เราแวะซื้อของสดคือ  ที่ตลาดกลางการเกษตร หลายคนที่มาอยุธยา  ขากลับส่วนใหญ่จะแวะที่นี่  มีของสดๆ ขายเยอะมาก  จะนั่งกิน หรือจะซื้อกลับก็ได้  มีให้เลือกหลายราคา ตามกำลังทรัพย์ในกระเป๋า  เมื่อก่อนไม่นานมานี่เอง มีเงินสองร้อยซื้อกุ้งตัวใหญ่ๆ  ได้  แต่ตอนนี้  สองร้อยซื้อได้แค่ลูกกุ้ง  เอามาเผาต้องคอยระวังกุ้งลอดตะแกรงตกลงเตา  เอาน่า  อย่างน้อยก็ได้กินกุ้งเผากะเค้าละกัน
           ส่วนเรื่องที่เราบนขอหลวงปู่  จะสำเร็จหรือไม่  ถ้าเราต้องกลับมาแก้บน แสดงว่าสำเร็จใช่มั๊ย  ยังไม่รู้ผลเลย   ถ้าอย่างนั้นขอให้ติดตามเราต่อไปนะ.....วันนี้พอแล้ว พอจริงๆ พอเหอะ... แน่ะ...บอกว่าพอไง  จะตามมาอ่านทำไม  ไป...ไปได้แล้ว....ยังอีก  เอ๊ะ!!!  ยังไง  ดื้อนะเนี่ย ...  พูดไม่ฟังเลย...ต้องให้ทำยังไงนะ
           จับจูบซะดีมะ......

          ขอบคุณที่ตามอ่านค่ะ...รักอีกครั้ง...







         

วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ไอ้ลูกชาย "ไข่ย้อย"(My ugly cat)

              คุณมีสัตว์เลี้ยงที่บ้านมั๊ยคะ คำตอบจะมีสองอย่างคือ มีกับไม่มี สำหรับคนที่ตอบว่าไม่มี  ไม่ใช่ไม่ขอบสัตว์เลี้ยง แต่เนื้อที่ที่บ้านอาจไม่อำนวย หรือติดปัญหาสุขภาพ  แพ้ขน หรือเหตุผลนานับประการ แต่สำหรับคำตอบว่ามี  ถ้าถามต่อว่า เลี้ยงอะไร  บางคนก็จะเลี้ยงหมาเพราะมันซื่อสัตย์  วิ่งออกมาต้อนหน้าต้อนหลังทุกวัน บางคนเลี้ยงปลาเพราะชอบดูตอนที่ปลาสวยงามเหล่านั้นว่ายไปมา เหมือนภาพวาดแต่เคลื่อนไหวได้ บางคนนั่งดูปลาว่ายน้ำได้ไม่รู้เบื่อ บางคนชอบแมว เพราะแมวมักจะมีความเป็นตัวเองค่อนข้างสูง และไม่ต้องดูแลเอาใจใส่อะไรมากนัก  หรือนกเพราะชอบฟังเสียงร้องใสๆ ของนกแต่ละชนิด และสัตว์อีกหลายชนิดที่สามารถเลี้ยงได้ในบ้าน  หากบ้านคุณมีสถานที่อำนวยสำหรับสัตว์เลี้ยงชนิดนั้น  แต่สำหรับเรา เราชอบสัตว์ทุกชนิด ย้ำนะคะทุกชนิดจริงๆ  เมื่อก่อนมีความสุขกับการเล่นกับสัตว์เลี้ยงของเพื่อนข้างบ้าน ทั้งหมา แมว ปลา เจออะไรเล่นด้วยหมด  เพราะเราต้องทำงานประจำ และกลับบ้านไม่เป็นเวลา รวมถึงต้องไปค้างอ้างแรมที่อื่นเป็นประจำ ทำให้ไม่มีเวลา ไม่สามารถเลี้ยงสัตว์ใดๆ ได้   แต่แล้ววันนึงโอกาสก็เข้ามา  เราได้งานที่สามารถนั่งทำงานที่บ้านได้  ทำให้มีเวลาที่จะดูแล และเอาใจใส่สัตว์เลี้ยงได้  เอาหล่ะ  คิดสิ  ที่นี้ต้องมาคิดแล้ว เราจะเลี้ยงอะไรดีล่ะ
             หมาเหรอ มันต้องใช้พิ้นที่มากนะ เราอยู่ห้องคอนโด ถึงจะพอมีพื้นที่ให้วิ่ง แต่คงไม่เหมาะ ไหนมันจะเห่า หรืออาจออกไปกัดใครอีก ชอบหมามากที่สุดนะ  แต่ต้องตัดตัวเลือกนี้ออกไป
             ปลาเหรอ เราไม่ชอบตอนที่ต้องล้างอ่างปลาสิ สงสัยถ้าเลี้ยงคงมองปลาไม่เห็นเพราะตะไคร่เกาะตู้จนมิด เคยเลี้ยงนะ เวลามันตายเศร้าใจบอกไม่ถูก แล้วปลาทำไมมันตายง่ายจัง  นี่เราต้องเสียใจซ้ำซากแน่ ถ้าเลี้ยงปลา ตัวเลือกนี้  ก็ต้องขอบาย
             นกล่ะ  ดีนะ อยู่แต่ในกรง ฟังเสียงร้องจิ๊บๆ  ถึงเวลาก็แค่ให้อาหาร นานๆ ทำความสะอาดกรงซักครั้งนึง  แต่บังเอิญเหลือเกิน เราชอบนกที่มันบินอยู่บนฟ้ามากกว่าสิ  ชอบแหงนมองนกที่มันบินอยู่ลิบๆ ถ้าเลี้ยง สุดท้าย  เราคงซื้อมาแล้วปล่อยเค้าไป    แน่นอนตัวเลือกนี้จำต้องตัดอีกเช่นกัน
             มาถึงแมว  เออ...เข้าท่า  มันไม่ติดเรา มันติดบ้าน ไม่ออกไปกัดใคร ตัวผู้จะกัดก็แต่แมวด้วยกัน ถ้าถึงช่วงผสมพันธุ์  วันๆ เอาแต่นอน  ไม่สุงสิงกะใคร  แล้วเลี้ยงในพื้นที่จำกัดแบบบ้านเราได้ นานๆ  ปล่อยออกไปเริงร่าได้บ้าง ถ้ามันกลับบ้านถูกนะ  ตัวเลือกนี้แหละ เหมาะกับเราที่สุดแล้ว ณ ตอนนี้  เราจึงตัดสินใจเลี้ยงแมว หง่าววววววว แง้วววว  แว้วววว  เสียงนี้ก้องเข้าหูมาเลย 
             อ่ะ  พอตัดสินใจได้แล้วว่าจะเลี้ยงแมว จะไปเอาจากไหนดีนะ ซื้อเลยมั๊ย  มีขายเยอะแยะ ที่วัดดีกว่าฟรีด้วย หรือที่สวนจตุจักร   วันเสาร์อาทิตย์จะมีคนใจดีจากโครงการปันน้ำใจให้แมวจร จะรวบรวมแมวหาบ้านมาให้บริการแก่คนใจดีที่สามารถรับเลี้ยงแมวเหล่านั้นได้   นี่ก็ฟรีอีกเช่นกัน แต่ก่อนจะรับไปเลี้ยงต้องกรอกเอกสารบ้างนะ หรือจะไปเดินเตร็ดเตร่แถวไหน เจอปุ๊บก็เก็บมาเลี้ยงเลย  ไม่หล่ะ
            แหล่งหาแมวน่ารักซักตัว   ที่ว่ามาเราต้องออกไปหา ขี้เกียจไปจังเลย  เราเลยเลือกที่จะค้นหาเอาใน Social Network นี่แหละ เต็มเลย อยากได้สีไหน พันธุ์อะไร  มีคนใจดีเอามาลงไว้ แจกแจงรายละเอียด พร้อมรูปถ่ายชัดเจน เห็นแม้กระทั่งขี้มูกขี้ตากรัง  รอให้คนใจดี  และพร้อมที่จะเลี้ยง มาเลือก และรับไปเลี้ยง หรือหากไม่สะดวกมารับเอง ก็มีบริการจัดส่งให้ถึงบ้านอีกตะหาก  แถมฟรีอีกด้วยนะ  นี่แหละแบบนี้ถึงจะเหมาะกับคนขี้เกียจแบบเรา
            และแล้ววันนึงขณะที่เรานั่งทำงานเงียบๆ ที่บ้าน เราก็แวะเข้าไปที่เวบพันธุ์ทิพย์ หน้าโครงการปันน้ำใจให้แมวจร จึงลองมองหาเจ้าแมวตัวที่เราชอบ และดูแล้วมันน่าจะชอบเรา ค้นไปค้นมา  ก็มาเจอที่ Facebook หน้าชุมชนคนรักแมว มีคนใจดีเอารูปแมวหาบ้านมาลงไว้ แต่ละตัวหน้าตาขี้เหร่สุดๆ  แต่เราคิดว่า นี่แหละใช่เลย ถ้าขี้เหร่มันก็จะไม่มีใครมารับไปเลี้ยง เราเลยตั้งใจว่าจะพยายามเลือกตัวที่ขี้เหร่สุดๆ  ตอนนั้นคนใจดีเค้าตั้งชื่อเพื่อให้เค้าจำได้ว่ารุ่น "BB1" มีพี่น้องร่วมคลอกเดียวกันก็ตั้งชื่อต่อๆ กันไปว่า BB2 ,BB3 เป็นงัยทันสมัยซะ  เราปล่อยให้คนอื่นเค้าเลือกไปก่อนเลย รอจนแน่ใจแล้วว่าไอ้ตัวนี้แหละ ไม่มีใครเอาแน่นอน  เราเลยเลือกไอ้ BB1 นี่แหละ  ตัวผู้ ขี้เหร่สุดบรรยาย ผอมกะหร่อง หางกุดสนิท เราติดต่อคนใจดี นัดกันเอาของมาส่ง อุ๊ย....ลักษณะเหมือนส่งยาบ้า  แต่สุดท้ายต้องเลื่อนออกไป  เพราะ "มันป่วย" ฮิ้ว....เป็นงัยเราเลือกเก่งใช่มะ  ยังไม่ทันไรเลย ป่วยซะแล้ว
          จากกำหนดที่เรานัดกันกับคนใจดี  ต้องเลื่อนออกไปอีกอาทิตย์นึง เพราะมันต้องโดนฉีดยา เนื่องจากเป็นหวัด ขี้มูกยืด และจามตลอดเวลา  เอาหล่ะถึงตอนนี้มันก็ยังไม่หายดีเท่าไหร่ แต่เรายินดีรับมาดูแลต่อได้  โดยยังคงต้องป้อนยาตามเวลา  เอาวะเป็นไงเป็นกัน มาตายที่บ้านเรานี่แหละวะ
         ฮิ้ว......จะมีแมวเป็นของตัวเองแล้ว  ตื่นเต้น  ตื่นเต้น ตื่นเต้น  เราไปรับมันที่เทคโนลาดกระบัง มาพร้อมตะกร้าไปโต  ใส่เสื้อสีชมพูตัวบะเร่อ คือเสื้อใหญ่กว่าตัวเยอะมาก  แว่บแรกที่เห็น  ทำไม่มันขี้เหร่แบบนี้วะ  หามุมน่ารักไม่เจอจริงๆ  สงสัยไม่รอดเจ็ดวันแน่นอน ฟันธง ตายแน่.....
        รับขึ้นรถมาพร้อมตะกร้า  มันก็สำแดงด้วยการฮัดชิ้วมาตลอดทาง แถมขี้มูกเขียวอื๋อที่กระเด็นออกมาเป็นระยะ ในตะกร้ามีผ้าขนหนูสีเคยขาวมาด้วยผืนนึง แต่งแต้มด้วยรอยขี้มูกแห้งเป็นหย่อมๆ มีอาหารเม็ดมาด้วยนะ ถุงย่อมๆ  สงสัยเค้าคงกลัวเราจะปล่อยให้มันอดแน่ๆ  เค้ารู้ได้ยังไงนะ  แต่ยังสงสัยจนถึงวันนี้  ว่ามันยี่ห้ออะไรหว่า
        มาถึงบ้าน เอามันออกมาจากตะกร้า  มาดูรูปมันวันแรกที่บ้านเรากัน

                เป็นงัยผอมแบบที่บอกมั๊ย แล้วดูนั่นนะ  เสื้อสีชมพูตัวใหญ่ต้องใช้เข็มกลัดมากลัดไว้ เพราะเสื้อมันหล่นลงมาคลุมตูด  มันป่วย เลยนอนแบบกับที่นอน  ทีนี้มาคิดต่อจะตั้งชื่อมันว่าอะไรดีนะ จะเรียก BB1 มันเข้ากับมันซะที่ไหน  ดูหน้ามันสิ   เออ...มันตัวผู้  ตัวผู้ก็ต้องมีไข่สิ  แล้วแถมขี้มูกย้อยยืดมาแบบนี้  เลยเอามารวมกันซะ "ไอ้ไข่" ไม่ใช่ไข่เฉยๆ ด้วยนะ "ไข่ย้อย" ด้วย

              
              ได้เวลาป้อนยา  เลยต้องจับห่อแบบนี้  ตอนนั้นมันป่วย หมดแรงดิ้น จะทำอะไรก็ยอมหมดแหละ  แล้วตัวมันหน่อยเดียว ห่อง่าย  ลองจับมันมาห่อตอนนี้สิ  สงสัยโดนมันกัดแขนแหว่ง

  
              ดูหน้ากันชัดๆ  เป็นไง ขี้เหร่ได้ใจจริงๆ   นั่งซึมๆ  ไม่สดใส  นี่พยายามทำหน้าสดชื่นแล้วนะ

              กับห้องน้ำของมันนั่นแหละ อันใหม่ เลยลงไปนอนเกลือกลิ้งเล่น ดำผุดดำว่ายในทราย แต่มันจะทำแบบนี้ตอนเปลี่ยนทรายใหม่ๆ เท่านั้นนะ  ถ้าทรายใช้แล้ว ไม่ทำแบบนี้
             เวลาผ่านไปเดือนนึง เออ มันหาย ไม่ตาย  มันเลือกที่จะไม่ตาย มันเลือกที่จะอยู่กับเรา......
            
             นับจากวันนั้นถึงวันนี้ มันก็สร้างวีรกรรมกับเรานับไม่ถ้วน ไล่ตั้งแต่ ไปจับแมลงสาบกิน  แล้วอวกบนผ้า ผ้าสะอาดด้วยนะ เป็นกองๆ ให้เก็บ  เอางานสำคัญมากัดเล่น(อันนี้บ่อยมากที่สุด)  เอาทิชชู่มากัดเล่นซะกระจุยกระจายรอบบ้าน ไปตะกุยยกทรงจากในตะกร้าเอามากัดเล่น  กัดต้นไม้ในบ้านเท่าที่ตีนมันจะเอื้อมเหนี่ยวลงมากัดได้ เอาตีนไปแกว่งน้ำในชักโครกเล่น  เปิดประตูบ้านเป็นไม่ได้จะต้องวิ่งพรวดออกไป  เสร็จแล้วกลับมาไม่ถูก หลงไปเลย ต้องให้ออกไปตามทุกครั้ง หมาไม่รู้จัก  แมวก็ไม่รู้จัก  ท้าต่อยได้ทุกตัว  ปีนขึ้นโต๊ะ ไปเขี่ยเอาทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะให้มันหล่นลงบนพื้น  หาอะไรไม่เจอ ไปดูเลย อยู่ใต้โซฟา  กับเราชอบกัด กัดแรงๆ แขนมีแต่รอยกัด แต่กับคนอื่นไปอ้อนเค้า พันแข็งพันขา กลิ้งไปกลิ้งมา  ทำท่าน่ารักสุดๆ  ตดเหม็นมาก บางวันไม่รู้จะรีบไปไหน ขี้เสร็จไม่ยอมกลบ เปิดประตูเข้าบ้านมาที แทบผงะ  รู้สึกเหมือนกลิ่นโดดถีบหน้า ถ้าวันไหนเรานอนตื่นสาย จะโดนมันกระโดดมาเหยียบอก แล้วเอาตีนมันมาแตะที่หน้า บางทีตีนนั้นก็มาพร้อมกลิ่นอึ  แล้วใครจะไม่ตื่น  แต่ถ้าไม้นี้ไม่ได้ผล มันจะนอนทับอกเลย  เอาให้หายใจไม่ออกกันไปข้างนึง

                  ตอนนั้น กับตอนนี้  หลายคนถึงได้บอกไว้ว่าอยากให้แมวตัวเองกลับไปเหมือนตอนเด็กๆ ถ้าย้อนเวลาได้  ดูหน้ามันสิ เคยน่ารัก กับโคตรกวนตีน

                  โชว์กันเต็มๆ  ไปเลย "ไข่" กับหางกุดๆ  สังเกตที่เท้าหลังขวา จะมีสีแต้มน้ำตาลเป็นรูปหัวใจคว่ำ

 

               ไม่รู้เสื้อหดหรือเปล่า ตึงเป๊ะเลย  เราซื้อให้ใหม่แล้วนะ  แต่ยังเก็บเสื้อตัวนี้ไว้อยู่เลย เดี๋ยววันไหนจะจับเอามาใส่ให้มันใหม่


              ตัวอย่างความซน  แมวของใครอีกหลายคนก็คงเป็นแบบนี้  เล่นถุงพลาสติก แล้วหัวเข้าไปติดที่ตรงหูของถุง
              แล้วแบบนี้หล่ะ  เข้าไปนอนในถุงมันเลย  เราก็เลยจับมันใส่ถุง แล้วห้อยไว้ซักพัก จะได้หายซ่า


            กูละกลุ้มจริงๆ ที่ต้องมาอยู่บ้านนี้

             กิจกรรมที่คุณไข่ขอบทำทุกวัน คือมาตะกุยขา เพื่อให้เราอุ้มมันขึ้นมานั่งบนบ่า  จะนั่งอยู่แบบนี้จนกว่าเราจะจับมันลง  ไม่โดดลงเอง  เมื่อก่อนตัวเล็กทำแบบนี้ก็สนุกดี  แต่ตอนนี้หนักกว่าสี่กิโล  ทำแบบนี้บ่าถึงกับทรุด

 
              กะละมังใส่ตุ๊กตารอประกอบ คุณชายเธอก็ลงไปนอนขดๆ  เบียดกับตุ๊กตา ตอนแรกก็นอนเบียด ซักพัก เขี่ยตุ๊กตาออกซะ หรือไม่ก็กัดเล่น   ตุ๊กตาเสร็จมันไปหลายตัวแล้ว มันคงนึกว่าเราเย็บให้มัน
  
             ณ วันนั้น เมื่อวันยังเยาว์  เก้าอี้ตัวใหญ่

             ณ วันนี้ เมื่อวันเป็นหนุ่มเต็มตัว เก้าอี้ตัวเก่ากลับเล็กลง

              นับถึงวันนี้  ไข่ย้อยมาอยู่กับเราประมาณแปดเก้าเดือนได้แล้ว แต่ละวันไข่ย้อยจะมีสิ่งที่ทำให้เราปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน  หางานให้เราทำ  มีเรื่องให้ต้องไล่ตีกันทุกวัน บางครั้งโดนตีไปไม่ถึงนาที  หันมาอีกที มันก็ทำเหมือนเดิม  เราคิดไม่ออกว่า มันเคยทำความดีอะไรให้เราประทับใจบ้างนะ  นั่งเขียนไปนี่ ก็พยายามนึก แต่นึกไม่ออกจริงๆ  แต่อย่างนึงที่เรารู้สึกได้  คือ ทุกสายตาที่มันมองเรา ไม่เคยมีสายตาของความเกลียดชัง หรือสายตาแบบดูถูกเหยียดหยาม  ขนาดโดนตีไปเมื่อกี๊  ตรงนี้เองที่ทำให้เรารู้สึกว่า เรารักมันโดยไม่รู้ตัว และมันคงเป็นความรักที่เราเองก็ไม่เคยมีให้ใครมาก่อน  เป็นความรักที่ไม่ต้องการการตอบแทน เป็นความรักที่มันมาพร้อมกับความว่าง ว่างจากการความหึงหวง ว่างจากความเป็นห่วง
             การเลี้ยงสัตว์ให้อะไรกับเรามากกว่าเป็นเพียงแค่สัตว์เลี้ยง มันสอนให้เราอดทน ลดละจากความโกรธ  แต่ให้มองมันด้วยใจที่เต็มไปด้วยความเมตตา  เพราะโกรธไปก็เท่านั้น มันไม่รู้เรื่อง ถ้าเราโกรธก็แสดงว่าจิตใจเราต่ำกว่าสัตว์นั่นเอง นั่นคือสิ่งที่ไข่ย้อยมันสอนเราทุกวัน
            
             ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อน ขอบคุณที่สั่งสอนให้เรามีความอดทนเพิ่มมากขึ้น ขอบคุณสำหรับทุกความซนที่คุณก่อ ขอบคุณที่คุณเลือกจะอยู่กับเรา  ขอบคุณมากๆ ขอบคุณจริงๆ..........