วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กะหล่ำปลีผัดน้ำปลาสูตรเกงอู

            เข้าหน้าหนาว  มาลองหากับข้าวสู้อากาศหนาว  จะกินเปล่าๆ  กินกับข้าวสวยร้อนๆ หรือกินแกล้มเบียร์ก็แหล่ม ไวน์แดงก็ดี  ขาวก็ได้ ขอให้ไวน์รสชาดออกฝาดเล็กๆ ตามด้วยเปรี้ยว  หรือวิสกี้โซดาน้ำ ก็แล้วแต่ใครจะชอบแบบไหน  แต่เราชอบทุกรายการที่กล่าวมา ลองทำดู  ทุกคนทำได้  อาจารย์เท้าสาก คู่แข่งอาจารย์ยิ่งสากรับรอง
            จั่วหัวว่า  จะทำกะหล่ำปลีผัดน้ำปลา  แน่นอนต้องมีกะหล่ำปลีสีเขียวนะ  พืชชนิดหนึ่ง ที่บางครั้งมีหน้าที่แค่ประดับโต๊ะอาหาร เอาไว้กินกับอาหารอีสาน จริงๆ มีผักอีกเยอะ แต่มันเหี่ยวเฉาง่าย สู้กะหล่ำไม่ได้ กะหล่ำเลยเป็นแพะ เพราะทน ไม่เหี่ยวเฉาง่าย เก็บได้หลายวัน  แต่ผักชนิดนี้บางคนไม่ชอบกิน บอกว่ามันจะไปดึงแคลเซี่ยมในร่างกาย ทำให้เป็นคอหอยพอกบ้าง หรือทำให้เป็นหมันบ้าง   บ้างก็ว่าสารเคมีตกค้างเยอะ   แล้วแต่ใครจะอ่านตำราเล่มไหน  แต่เราไม่ได้อ่านเลยซักเล่ม  เพราะชอบไปสั่งกินทุกครั้งที่อ่านเจอในเมนู  แล้วที่สำคัญบางร้านขายจานละหนึ่งร้อยบาท แม่น...ร้อยบาทต่อจาน...อย่าปล่อยให้เค้าทำรายได้ฝ่ายเดียวเลย   มาลองทำกินเองบ้างดีกว่า....ลุยยย
          
            1. วัตถุดิบ  ประกอบด้วย
            1.1  กะหล่ำปลีเขียวครึ่งหัว หัวใหญ่หัวเล็กก็แล้วแต่ปริมาณคนที่มีในบ้าน บางบ้านคนเยอะ ก็หัวใหญ่  บางบ้านคนน้อยก็หัวเล็ก  ปรับกันเอาตามความเหมาะสม  ที่บอกว่าครึ่งหัว เพราะถ้าทำกะทะแรกรสชาดห่วย  ยังมีโอกาสแก้ตัวกับครึ่งหัวที่เหลือนะเจ้าคะ  หั่นครึ่งหัว แล้วหั่นแบ่งออกเป็นสี่ส่วน  ถ้าไม่เข้าใจ  แค่หั่นให้มันแยกออกจากกันแค่นั้น  แล้วแช่น้ำล้างให้สะอาด ผึ่งทิ้งไว้ให้แห้ง ย้ำนะว่าให้แห้ง  ดูภาพประกอบโลดเด้อค่า โฟกัสกะหล่ำนะคะ  มองข้ามกะละมังไป


                  
            (เทคนิคการเลือกกะหล่ำปลี  คือให้เลือกหัวหนักๆ  ผิวมันๆ แสดงว่ายังสดอยู่ อาจจะเพิ่งลงมาจากภูทับเบิกก็ได้ แอบหวังนะ ถ้าหัวขนาดเท่ากันแต่เบาหวิว ก็เอาวางไว้ที่เดิมแบบซิงกูลาร์(เบา เบา) ไม่งั้นแม่ค้าจะส่งเสียงที่เราไม่อยากฟังมากระแทกหู)
            1.2  น้ำมันพืช 5 ช้อนโต๊ะ อันนี้อย่างก  อย่าห่วงสุขภาพมากจนวิตกจริต  บอกแล้วเมนูแก้หนาว ไม่ใช่มนูรักษาสุขภาพ น้ำมันพืชกินได้  ไม่งั้นเค้าจะทำมาขายเราทำถ้วยอะไร  ของทอดบางอย่างอมน้ำมันมากกว่านี้อีก ใส่น้ำมันมากหน่อย ผัดผักออกมา ผักจะหวานกรอบอร่อย  แม้ยามที่เย็นชืดแล้ว ถ้าจะถามว่า ใช้ยี่ห้ออะไรดี  ตอบเลย...แล้วแต่ที่มีอยู่ในบ้าน ก็ถ้าตอบว่ายี่ห้อเสิ่นเจิ้น...มิต้องวิ่งไปหาถึงจีน หรองัยคะคุณๆ
             1.3  น้ำปลาดี หนึ่งช้อนโต๊ะ อาจบวกเพิ่มได้อีกครึ่งช้อน ถ้าคุณใช้กะหล่ำหัวใหญ่ และน้ำตาลหนึ่งช้อนชา  หรือถ้ามันยากนัก  ใช้วิธีกะๆ  เอาก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าไม่แม่นมากพอ  แนะนำตวงเอาเหอะนะ  ไม่ยากเลย...ช้อนโต๊ะก็ช้อนกินข้าว  ช้อนชาก็ช้อนกาแฟแหละ  แล้วเอาสองอย่างนี้ผสมรวมกันในถ้วยเล็กๆ คนให้ละลายเข้ากันพอประมาณ  ตอนเทลงกะทะจะง่ายขึ้น   ในรูปเป็นกระปุกน้ำตาล  และขวดน้ำปลาที่บ้านเราเอง


             1.4  กระเทียมแกะเปลือก ทุบพอแตก ปริมาณแล้วแต่ชอบ วันนี้เราใช้กระเทียมไทยเม็ดเล็กฉุนดีนักแล พอผัดสุกกินติดไปกับผัก บอกเลยสุดยอด......




            2. มาลงมือทำกันเถอะ........
          
             2.1  เอากะทะตั้งไฟ เปิดไฟเตาแก็สแรงสุดเท่าที่เตาแก็สคุณจะทำได้  เทน้ำมันพืชลงกะทะ  รอจนน้ำมันร้อน  ขนาดไหนเรียกว่าน้ำมันร้อน  ก็จนกว่าหน้าคุณจะรู้สึกร้อนผ่าวๆ  นั่นแหละ  ใส่กระเทียมบุบลงไปก่อน

            2.  ตั้งสติ  เตรียมหยิบกะละมังกะหล่ำไว้ในมือ  กะทะร้อนเต็มที่  เทกะหล่ำลงไปในกะทะ  เติมน้ำสะอาดลงไปเล็กน้อย ย้ำนะเล็กน้อย ฟังเสียงผักกับกะทะสู้กัน เสียงดังเปรี๊ยะ ปร๊ะ  เปรี๊ยะ ปร๊ะ อย่าตกใจ แบบนี้แหละดี เอาตะหลิวคนกลับกะหล่ำของเราซักสองสามหน
            3.  เทน้ำปลาน้ำตาลลงไปเลย  แล้วก็ผัดๆ  กลับไปมาไม่ต้องมาก ดูให้กะหล่ำยุบลงเล็กน้อยพอ(อายกะทะว่ะเฮ้ย)
 
              4.  พอแล้ว  คนพอแล้ว  ขนาดดิบยังกินได้เลย ผักพอสลบพอแล้ว  ตักใส่จานเลยจ้า


            ตะเกียบพร้อม ไวน์พร้อม เบียร์พร้อม แก้วเหล้าพร้อม ข้าวสวยร้อนๆ พร้อม เอ้าลุยยยยยยย.....
เค็มนิด  หวานหน่อย  มันติดปลายลิ้นปะแล่มๆ  กินตอนร้อนๆ  หรือเย็นแล้ว  ก็อร่อย....คอนเฟิร์ม...ฟันธง...
แต่ถ้าไม่อร่อย  แนะนำให้กลับไปอ่านข้อ 1.1 สามรอบ
            สาธุ...ด้วยความสงบสุข  และได้โปรดติดตามตอนต่อไป
          

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เที่ยวใกล้ๆ สไตล์ประหยัด เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์

            ห่างหายไปพักนึงเลย สำหรับเรื่องเที่ยว เที่ยว แล้วก็เที่ยว   คราวนี้ ไปแบบนอนพักซักคืน ไม่รีบไม่ร้อน ใกล้  ไม่แพง ไม่วุ่ยวาย ใครที่มองหาที่พักเงียบๆ ราคาประหยัด จะไปทั้งครอบครัวใหญ่ ก็ทำได้ หรือจะไปแบบเพื่อนฝูงเอะอะเฮฮาก็สามารถเช่นกัน ที่นี่เลย เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ตั้งอยู่ ณ บ้านหนองบัว อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี การเดินทางก็ใช้ถนนหมายเลข 21 เรามาทางนี้ ขนาดเราชอบขับรถหลง เรายังมาถูก พวกท่านน่าจะเก่งกว่าเราแน่นอน  หรือบางคนจะเลือกไปกับการรถไฟแห่งประเทศไทยก็ได้นะเจ้าคะ แต่ไม่แน่ใจว่า จะเป็นแบบไปเช้าเย็นกลับ หรือไม่  จะได้อรรถรสไปอีกแบบ นั่งรถไฟไปบนสันเขื่อน ที่เคยเห็นใครเค้าถ่ายรูปมาโพสต์ไว้เยอะแยะ รถไฟวิ่งไปบนเขื่อน ...
             ระหว่างทาง  ตามประสาคนชอบเข้าวัด(วัดก็เข้า เหล้าก็กิน เพื่อนก็คบ) ไปแวะวัดนึง ชื่อวัดป่าธรรมโสภณ  อยู่ในเมือง วนๆ หา จากพระปรางค์สามยอด ไม่ไกลกันเท่าไหร่  ชื่อวัดป่าแต่อยู่ในเมืองนะจ๊ะ

            
             แล้วนี่ร้านอาหารริมน้ำ อันนี้ไม่ได้ตั้งใจลืมชื่อร้านนะ ลืมจริงๆ  ถ้าจำได้จะใช่การเดินทางของอุ้ยมั๊ย  มันต้องลืมสิ  ถึงจะใช่อุ้ยตัวจริง เอาไว้ไปใหม่ จะไปจำมาบอกนะจุ๊  มีปลาจริงมาว่ายวนเวียน รออาหารปลา จำได้ว่าถ่ายเป็นคลิป แต่ไหงมันกลายเป็นภาพนิ่งๆ ไปแล้ว



              ที่พำนักของเราคืนนี้  คือที่ของ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์  ที่นี่มีกิจกรรมให้คนไม่ชอบอยู่นิ่งๆ หรือแค่เปลี่ยนที่กินเหล้า ทำหลายอย่างอยู่เหมือนกัน เช่น มีจักรยาน(ของใครไม่รู้) เอามาปั่นให้ตื่นเต้นเล่น เพราะกลัวเจ้าของเค้ามาตาม หรือจะไปนั่งรถชมวิวเขื่อนก็เจ๋ง รถออกตามเวลา มีคนมายืนรอเข้าคิวกันหลายคน หรือจะไปเดินช็อปปิ้ง เพื่อเป็นการกระจายรายได้ ก็ยิ่งดี  สินค้าที่ขายมีหลายประเภท ให้เลือกซื้อได้ตามความชอบของแต่ละคน  เสียดายตอนที่ไปนั้นเราลืมถ่ายรูปมาให้ดู เราซื้อ ลูกหว้า..ใช่แล้ว...ลูกหว้าลูกใหญ่มาก ขายเป็นกระทง กระทงละสิบบาท  ผลไม้สุดโปรดของคนกรุงหยั่งเราเลย  หากินง่ายๆ ซะที่ไหน  รู้จักมั๊ยเอ่ย  ผลไม้ลูกกลมรีๆ  สีม่วงเข้ม  สุกแล้วรสหวานๆ  ถ้ายังสุกไม่เต็มที่จะออกฝาดหน่อยๆ พอให้รู้สึกสากๆ ฟัน  กินไปเยอะๆ  ยิ้มมาทีเห็นฟัน กะเหงือกสีม่วงๆ เรามันไม่ใช่ประเภทต้อง Up รูปลงเฟซบุคก่อนกินทุกครั้งซะด้วยสิ เลยฟาดซะหมดเลย นึกขึ้นได้อีกที เหลือแต่เม็ดสีขาวอมชมพู ปนน้ำลายแหนะๆ  มันน่าดูซะที่ไหน

             มาดูที่พักกันดีกว่า(ว่าแต่ว่า เอาที่พักของเค้ามาให้ดูเนี่ย เราได้ค่าโปรโมทป่าววุ๊ย  เอาแค่ครั้งต่อไป  ไปพักอีก  ลดให้ครึ่งนึงก็ดีแล้ว เอ้า....ตื่นๆ  ฝันไปถึงไหนแล้ว)


             นี่งัยจ๊ะ  ที่พำนัก  หน้าบ้านมองเห็นวิวเขื่อน  หลังบ้านก็สวยไปแพ้กัน แต่คืนนี้เราใช้หลังบ้านทำกับข้าวกับอย่างสนุกสนาน

              เป็นไงสวยสงบเงียบอย่างที่บอกมั๊ย  เสียดาย  น้ำตรงนี้จะลงไปเล่นลำบากหน่อย เพราะบริเวณริมเขื่อนเค้าใช้ก้อนหินก้อนใหญ่เททับๆ กัน  จะลงไปต้องใช้ความกล้ากระโดดออกไป ไม่งั้นหลังกระแทกหิน  แต่ถ้ามันต้องดิ้นรนขนาดนั้น นั่งดูน้ำจะสุขใจกว่านะ


            เพื่อเป็นการยืนยันว่าริมเขื่อนมันลงไปยาก หินก้อนใหญ่ๆ ทั้งนั้น  แต่ในขบวนที่เราไป ก็มีคนลงไปนะ  แต่ต้องใช้วิธีที่บอก  คือ กระโดดออกไปให้ไกลที่สุด

          
            บรรยากาศวับแวมยามค่ำคืน กลมๆ เล็กข้างล่างนั่น คือแสงไฟจากบ้านเรือน ส่วนกลมๆ เล็กบนฟ้านั่น พระจันทร์  วันที่ไปเป็นคืนข้างแรม เลยได้เห็นพระจันทร์แหว่งไปเล็กน้อย ไม่กลมสุกใสเหมือนคืนเพ็ญ
            ขากลับ หมู่เรามาแวะที่ไร่กุสุมา  แวะจริงๆ  แค่แวะมาถ่ายรูป แค่นั้น
          
            ยังคงเอกลักษณ์น้ำใสไหลเย็น  น่าโดดเล่นเป็นยิ่งนัก เหมาะมากสำหรับคนรักการเล่นน้ำ แนะนำที่นี่เลย  หรืออยากจะทำกิจกรรมท้าทายการตกน้ำ แบบปีนบันไดเชือก ไต่สะพานโยกเยก มีให้เลือกเยอะเลย หรือจะนอนเล่นน้ำหน้าห้องพัก เอาท่อนล่างแช่น้ำ ก็เพลินนะ
            เอาแล้ว เขียนเชียร์มายืดยาว ต้องลองไปเองแล้วจะรู้  ค่าห้องพักก็ไม่ได้แพงจนจ่ายกันไม่ไหว แต่คงต้องโทรจองก่อนแหละ เพราะไปทีไรเห็นคนเต็มทุกที


            แถมให้อีกรูป  แอบถ่ายเด็กๆ นักศึกษาเล่นน้ำกัน  คงต้องจบทริปนี้ที่นี่  ที่ไร่ของเมีย"จเด็ด"  ไม่แก่จริง ไม่รู้นะเนี่ย ไปหาคำตอบเอาเองแล้วกัน  หมู่เรากลับบ้านด้วยความอิ่มเอม
          
            เริ่มด้วยวัด ซัดมาเขื่อนป่าสัก พักบ้านบริการนักท่องเที่ยว  อยากเสียวก็ลองโดดน้ำริมเขื่อน อย่าลืมเลือนแวะหาภรรยา จเด็ด  เสร็จแล้วกลับบ้านบานหทัย...ชะเอิงเอย  หนอยแม่...