ก่อนอื่นต้องขอบอกกล่าวล่วงหน้าว่า เรื่องราวต่อไปนี้ขอเขียนเพื่อละลึกถึงผู้ชายหนึ่งคน ที่บังเอิญผ่านเข้ามาในชีวิต และทิ้งความทรงจำที่ดีๆ เอาไว้ ซึ่งตราบจนชีวิตเรายังไม่สิ้น เราคงไม่มีวันลืมชายผู้นี้ได้แน่นอน อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ว่าผ่านเข้ามาในฐานะแฟน หรือคนรัก หรือกิ๊ก เอาล่ะ...เริ่มเลยดีกว่า
ขอเล่าท้าวความหลังว่าเรารู้จักผู้ชายคนนี้ได้อย่างไร เรารู้จักผู้ชายคนนี้จากความที่เค้าเป็นน้าของเพื่อนรักคนนึงของเรา เค้ามีเมีย และลูกที่น่ารัก อัธยาศัยดีมาก เราชอบในความซื่อตรงไปตรงมา ชอบก็บอกชอบ ไม่ชอบก็เก็บเงียบไว้ ใช้วิธีเลี่ยงๆ ไม่พูดให้เสียบรรยากาศ ไม่น่าเชื่อว่า เพียงแค่ครั้งเดียวที่เราได้รับการเชิญชวนจากเพื่อนรักเราให้ร่วมทริปไปเยี่ยมญาติของเพื่อนที่บ้านหนองคัน อำเภอแก้งคร้อ ชัยภูมิ ซึ่งแน่นอนในทริปนี้มีชายคนนี้ไปด้วย หลังจากนั้น เราเองรู้สึกผูกพันอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ญาติแท้ๆ และรู้จักกันครั้งแรกก็ทริปนี้แหละ ชายผู้นี้ เราขอเรียกตามเพื่อนเราว่า "น้าป๊อด"
น้าป๊อดมีภรรยาชื่อ น้าปุก มีลูกชายคนนึงชื่อ อ๋อง เล่าเพื่อให้เห็นภาพลางๆ ของครอบครัวนี้ คงเหมือนครอบครัวทั่วไป ที่เมียคอยปรนนิบัติทั้งสามี และลูกในทุกเรื่อง ยิ่งเรื่องกินนะ รับรองว่าไม่มีขาดตกบกพร่อง ฝีมือทำกับข้าวนับได้เลยว่าไม่เป็นสองรองใคร เรื่องอื่นก็ไม่เป็นรอง ใช้่ชีวิตด้วยกันแบบนี้มานานหลายปี ยิ่งก่อนที่จะมีลูกด้วยนะ ต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานับประการมาด้วยกันมากมายจนเล่าไม่หมด น้าป๊อด เป็นผู้ชาย ที่เป็นชายไทยแท้ๆ รับผิดชอบลูกเมีย ชอบดื่ม มองโลกในแง่ดี เพื่อนฝูงมากมาย งานอดิเรกชอบตกปลา ไม่ชอบสร้างความเดือดร้อนให้ใคร ที่สำคัญ เกรงใจทุกคนรอบข้าง เราเล่าเหมือนเป็นญาติสนิทก็มิปาน แต่เรารับรอง เราเพิ่งจะรู้จักครอบครัวนี้มาไม่นาน..ไม่นาน..จริงๆ
หลังจากได้ร่วมทริปไปบ้านหนองคัน แก้งคร้อ ชัยภูมิ เราก็เหมือนมีญาติสนิทเพิ่มขึ้นมาอีกครอบครัวนึง จากนั้นไม่นาน เราได้รับโทรศัพท์จากน้าปุก มาชวนเราร่วมทริปไปจันทบุรีด้วยกัน...วันนั้นเราเซอร์ไพรซ์มาก เรารีบโทรถามเพื่อนเรา แต่ได้รับคำตอบว่า น้าปุกน้าป๊อดชวนเรา แต่ไม่ชวนเพื่อนเราไปด้วย จะด้วยเหตุผลอะไร ณ วันนั้นเราก็ไม่ได้ถาม แต่เราตอบตกลงทันทีว่าเราจะไปด้วย...ง่ายดีมั๊ย...ใช่...นี่แหละนิสัยเรา....เรื่องชวนเที่ยว...รีบตอบรับทันทีไม่มีพลาด แล้วยิ่งไปกับคนคอเดียวกัน จะพลาดได้ไงจริงมั๊ย
เราออกเดินทางจากบ้านน้าป๊อดที่แถวๆ พรานนกตอนเช้า เก็บข้าวของขึ้นรถนิสสันคันเก่าๆ แบบมีแค็บคันเก่งของน้าป๊อด ซึ่งตอนหน้าของรถนั่งแบบขดๆ กันเล็กน้อย ได้ประมาณห้าคน รวมคนขับ ทริปนี้ครบพอดีห้าคน กระบะหลังต่อช่องแอร์ มีหลังคาไฟเบอร์ พื้นเป็นเบาะนั่งนอนสบาย แต่คราวนี้จะไปนั่งตอนหลังคงลำบากเพราะของที่ขนไปด้วยเยอะมาก แล้วก็มีกระติกน้ำแข็งสีน้ำเงินใบใหญ่ ที่วางในตำแหน่งที่ถูกออกแบบมาแล้วอย่างถาวร เอาไว้แช่อุปกรณ์สร้างความบันเทิง ตามประสาคนชอบดื่ม
อย่างที่บอกไว้ ทริปนี้เราไปจังหวัดจันทบุรี แถวๆ อุทยานแห่งชาติเขาคิชกูฎ ขาไป เราเลยแนะนำให้แวะไปที่ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จันทบุรี ซึ่งครั้งนึงเราเคยไปที่นี่กับขบวนนิด้า เมื่อครั้งที่เราต้องไปศึกษาดูงาน แล้วต้องเอาแนวคิดดีๆ ของโครงการนี้มาต่อยอดเพื่อนำเสนอเป็นแนวทางสำหรับทำรายงานส่งอาจารย์นั่นเอง แต่อีกส่วนนึงคือ ความสวยงามของสถานที่ ที่ทำเป็นสะพานไม้ทอดยาวไปบนผืนป่าชายเลน โดยที่ไม่ตัดต้นไม้ต้นใดออก ถ้าสะพานสร้างไปชนต้อนไม้ต้นไหน ก็จะเลือกใช้วิธีเจาะสะพานแทนการตัดต้นไม้ทิ้ง มีสะพานไม้ความยาวประมาณ 800 ร้อยเมตร นับว่าเป็นจุดที่มีคนชอบไปถ่ายรูป ภาพรวมจัดสถานที่ไว้อย่างลงตัว ซึ่งถ้าใครต้องการท่องเที่ยวพร้อมๆ กับได้ความรู้ไปพร้อมๆ กัน รับรองต้องชอบที่นี่แน่นอน
สองข้างทางระหว่างที่เดินไป จะห็นต้นโกงกาง ต้นแสม(สะ-แหม) หรือต้นอะไรอีกหลายอย่างแต่จำชื่อไม่ได้ เมื่อก้มลงมองลงไปที่รากต้นไม้จะเห็น สัตว์น้ำตัวเล็กตัวน้อยที่ใช้รากโกงกางเป็นที่พักหลบ จนโตได้ขนาดก็จะว่ายลงทะเลให้ชาวประมงจับมาขายพวกเราต่อไป ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง ปลา แมงดาทะเล ตัวน้อยๆ รวมถึงปลาตีน ที่ดูเริงร่า กับบ้านที่ไม่มีมสนุษย์มารบกวน แม้อากาศจะดูอบอ้าวบ้าง แต่ระหว่างทางที่เดินไป มันให้ความรู้สึกอิ่มสมอง และอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก
อย่างที่เล่าไปแล้ว ภาพนี้ยืนยันอีกครั้ง ต้นไม้สำคัญกว่าสะพาน เลือกที่จะเจาะสะพานซึ่งยาก แทนที่จะตัดต้นไม้ออกไปซึ่งทำง่ายกว่า แล้วดูสะอาดตากว่ามากมายนัก ภาพแบบนี้มีให้เห็นได้ตลอดระยะทางประมาณ 2กิโลเมตร ที่เราเดินไป
ระหว่างทาง มีเก้าอี้ยาวให้พอได้นั่งพักเหนื่อย ทุกจุดพักมีไว้ให้หวนนึกถึงคำพ่อหลวงที่ท่านพยายามสอนเราให้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ อย่าฝืนธรรมชาติ เมื่อใดเราฝืนธรรมชาติ ธรรมชาติจะทำทุกวิถีทางสั่งสอน หรือขจัดเราออกไปทันที
กับภาพครอบครัวที่ทาบทับด้วยกิ่งต้นแสมโกงกางอายุหลายร้อยปี ขอรักของครอบครัวนี้จงอยู่ในใจเราเท่าอายุต้นไม้
เราออกจากป่าชายเลนของในหลวง มายังจุดหมายปลายทางของเราคือ เข้าร่วมงานแต่งงานของลูกสาวของชายใส่เสื้อลายแดงที่เห็นในภาพ เราเรียกชื่อพี่เค้าตามน้าป๊อดว่า"พี่เหลา" พี่เหลาพื้นเพเป็นคนกรุง แต่ไปได้ภรรยาเป็นคนจันทบุรี มีไร่อยูติดกับอุทยานแห่งชาติเขาคิชกูฏ เมื่อเกษียณจึงไปตั้งรกรากกับภรรยา ทำไร่ทำสวน มีบ้านหลังใหญ่ ให้ลูกๆ และเขย นอกจากนั้นยังปลูกกระต๊อบหลังเล็กๆ อยู่ติดน้ำตก ให้เพื่อนฝูง หรือญาติอันเป็นที่รักไปพักอาศัยค้างแรมได้ตามอัธยาศัย ติดกระด๊อบหลังนี้ รายล้อมไปด้วยต้นทุเรียน มะไฟหวาน เงาะ และอื่นๆ ช่วงที่ไปเป็นช่วงที่มะไฟ แลทุเรียนกำลังออกลูก ยังสุกไม่ได้ที่ จึงได้เพียงเก็บภาพมาให็ดูแค่นั้น
ใกล้แค่เอื้อมคือมะไฟ ถัดออกไปคือกระต๊อบ เลยจากกระต๊อบอีกนิดเดียว จริงๆ ต้องบอกว่า กระต๊อบหลังนี้ยื่นลงไปในน้ำตกถึงจะถูก
น้ำตกใสเย็นไหลเรี่ยๆ อยู่ติดกับบ้านที่เราใช้เป็นที่พักกันคืนนี้ บรรยากาศดีแบบโรงแรมแปดดาวที่ไหนก็สู้ไม่ได้
ลากันด้วยภาพก่อนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไป กัยร่องรอยความทรงจำที่หวนให้ละลึกถึงชายคนนึงที่เกริ่นไว้ตั้งแต่แรก "น้าป๊อด" ชายผู้ซึ่งทำให้เราบอกตัวเองตลอดเวลาว่า เมื่อเราละสังขารณ์จากโลกใบนี้แล้ว เราจะเหลืออะไรไว้ให้คนข้างหลังระลึกถึงเราบ้าง มีเพียงความดี และความเลวเท่านั้น ที่จะทิ้งไว้ให้คนข้างหลังเอ่ยถึง แต่สำหรับชายผู้ที่ชื่อ "ป๊อด" คนนี้ เราหวนระลึกถึงแต่ความดีของเค้าเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าจะประทับตราอยู่ในใจเราชั่วนิรันดร์
ขอมอบภาพที่เห็นทั้งหมดนี้ และจิตที่ยังคงระลึกแด่ "น้าป๊อด" ขอความดีของน้าจงสถิตย์อยู่ในใจของเรา....